เรื่องสั้น สิ่งที่หลงอยู่
ชมัยภร แสงกระจ่าง
แม่กับน้าเป็นลูกสาวเพียงสองคนของตากับยาย นอกนั้นอีกสามคนเป็นผู้ชาย แม่กับน้าจึงดูเป็นพี่น้องที่รักกันมาก แถมยังคล้ายกันมากอีกด้วยทั้งรูปร่างหน้าตาและวิธีพูดวิธีเดิน คนที่รู้จักแม่และน้า หากไม่ได้พบกันนาน ๆ ก็จะทักผิดเสมอ แม้แต่ฉันตอนที่เป็นเด็ก ฉันก็เคยหลงเสียงของคนทั้งคู่มาแล้ว
ตอนนั้นแม่มีปัญหาชีวิตที่หนักหน่วงเรื่องพ่อ น้าซึ่งยังไม่แต่งงาน จึงช่วยเอาลูกของแม่ไปเลี้ยงดูให้ทั้งสองคน พี่นกอายุ
๑๑ ขวบและฉันอายุ ๘ ขวบ
สำหรับฉันเมื่อต้องจากแม่ก็คิดถึงแม่มาก
และเผลอวิ่งลงบันไดบ้านมาทุกครั้ง
เมื่อน้าเห็นตาโต ๆ ของฉันมีแววสงสัย
น้าก็จะถามว่า
“ มองหาใคร....แมว”
ฉันก็จะส่ายหน้าจนผมม้าสะบัด วิ่งกลับขึ้นบ้านไปอีกครั้ง
บางครั้งความคิดถึงแม่ทำให้ฉันไม่เชื่อหูหรือตาตัวเอง
ต้องไปแอบนอนอยู่บนบ้านเอาตัวแนบพื้นกระดานและมองลอดช่องระหว่างชั้นเพื่อดูว่า แม่มาจริง ๆ แล้วไปแอบซ่อนตัวอยู่ หรือว่าฉันระแวงไปเอง
บางครั้งบางหนฉันก็ค้นพบว่า เสียงของน้านั่นแหละที่ทำให้ฉันหลงไป ฉันเคยบอกเรื่องนี้กับพี่ชาย เขาหัวเราะแล้วว่า
“ยายบ้า”
ก็เขาโตแล้ว แล้วเขาก็เป็นผู้ชายด้วย เขาจึงไม่คิดถึงแม่เหมือนฉัน
กว่าแม่จะผ่านพ้นปัญหาชีวิตไปได้จนมีแรงใจและแรงเงินจะเอาเรากลับไปเลี้ยงดูอีกครั้ง เวลาก็ผันผ่านไปแล้วถึงสามปี ฉันอายุสิบเอ็ดขวบและเริ่มหัดอ่านหนังสืออ่านเล่น
น้ายังไม่แต่งงานและฉันเริ่มติดน้าและหนังสือของน้า จึงไม่ค่อยอยากกลับไปอยู่กับแม่
ฝ่ายพี่ชายไม่ว่าอะไร
ท่าทางเขาสบายอกสบายใจที่จะอยู่กับใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นน้าหรือแม่ เขาไม่อนาทรร้อนใจเท่าไหร่ ฉันยังนึกอยากเป็นผู้ชายบ้างจะได้ไม่ต้องมานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งตอนแม่มารับกลับบ้าน
“แมวคิดถึงน้า”
น้ากับแม่หัวเราะกันยกใหญ่ ตอนที่ฉันร้องไห้ฮือ ๆ
โดยนึกไม่ออกเหมือนกันว่าร้องไห้ทำไม
น้ามองหน้าฉันแล้วถามว่า
“ร้องไห้ทำไม แมว”
ฉันไม่ตอบเพราะตอบไม่ได้ จึงวิ่งหนีไปซ่อนในกองหนังสือของน้า บอกตนเองว่าฉันไม่ได้รักน้าเท่าแม่ และตามนวนิยายที่ฉันอ่าน แม่ทุกคนรักลูก ฉันแอบมองจากกองหนังสือเห็น
น้ากับแม่นั่งคุยกัน ท่าทางสนุกสนานบานใจฉันก็เลยดูเพลิน
เสียงกระหนุงกระหนิงของแม่กับน้าฟังแทบไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร
เว้นแต่เวลาหัวเราะ
น้าจะเสียงแหลมสูงกว่าแม่นิดหนึ่ง
แม่เรียกฉันกับพี่ชาย “แมว นก
ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะมืด”
ฉันรีบวิ่งออกมาหาแม่
แอบเอาหนังสืออ่านเล่นของน้าใส่กระเป๋ามาเล่มหนึ่งด้วย
ก่อนกลับ แม่หันมาบอกกับน้าว่า
“ดูดี ๆ นะ กลาง อย่าให้เหมือนพี่ล่ะ”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองแม่ ไม่เข้าใจว่าแม่หมายถึงอะไร
“เจอคนเจ้าชู้แล้วน้ำตาตกในแบบพี่”
ตอนนั้นฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอกว่าแม่หมายถึงใคร แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก ฉันก็รู้ว่า
ประโยคนั้นแม่หมายถึงพ่อ
เพราะพ่อเป็นคนเจ้าชู้และที่แม่ต้องเอาลูกมาไว้กับน้าก็เพราะต้องย้ายบ้านและจัดการเรื่องหย่าร้างกับพ่อให้เรียบร้อย
น้าแต่งงานไปในเวลาไม่นานนักหลังจากนั้น และต่อมามีลูกสามคนเป็นผู้หญิงล้วน แม่พาฉันกับพี่ชายไปเยี่ยมน้าบ่อย ๆ
น้องน่ารักทั้งสามคนตั้งแต่ตัวยังเล็ก ๆ จนกระทั่งตัวโต น้าชอบบอกพี่นกว่า
“นกเป็นผู้ชายคนเดียวต้องดูแลน้อง
ๆ นะ”
สามีของน้าเป็นคนดี แม่บอกเสมอว่าน้าเลือกได้ดีกว่าแม่ เขารักลูกสาวสามคนราวกับแก้วตาดวงใจ เราต่างคนต่างเติบโตกันมาเรื่อย ๆ
ฉันกับพี่ชายสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
ฉันไปเรียนที่เชียงใหม่
ในขณะที่พี่ชายไปเรียนที่ขอนแก่น
ฉันกับครอบครัวของน้าจึงเหินห่างกันไปโดยปริยาย มีแต่แม่กับน้าเท่านั้นที่ยังสนิทแนบแน่น ทุกครั้งที่อ่านจดหมายของแม่ ฉันจะเห็นภาพของน้าผ่านตัวอักษรของแม่ น้าเขาขายสวนแล้วนะ
ไปเปิดร้านขายเสื้อผ้าอยู่ในเมืองน้าเขารวยแล้ว ลูกสาวของน้าเข้าโรงเรียนแล้วนะ ดูเหมือนว่าวิถีชีวิตสมัยใหม่ทำให้เราที่เป็นลูกพี่ลูกน้องแทบไม่ได้เจอกันเลย ยิ่งฉันเรียนจบและได้ทำงานที่กรุงเทพฯ
ฉันก็ยิ่งลืม ๆ ไปแล้วว่ามีลูกน้าอีกตั้งสามคน
ครั้งหนึ่งฉันกลับไปบ้าน แม่ถามว่า
“เจอตุ๊กตาบ้างไหม....”
ฉันทำหน้างง “ใครน่ะ แม่
ตุ๊กตา”
แม่หัวเราะ แล้วว่า
“ก็ลูกน้ากลางคนโตไงล่ะ....เขาไปเรียนกรุงเทพฯ แล้วนะ”
“อ๋อ” ฉันลากเสียงยาว “แม่นึกว่ากรุงเทพฯเหมือนอยู่บ้านเราหรือไง”
แม่นิ่งเงียบไปในทันที
แต่นั่นแหละ หลังจากนั้นแม่ก็ลืมไปแล้ว พออีกสามเดือนเจอกันอีกแม่ก็บอกว่า
“นี่ หนูตุ่นน่ะ
เขาไปเรียนกรุงเทพฯอีกคนแล้วนะ”
คราวนี้ฉันรู้ได้ทันทีว่าแม่หมายถึงลูกสาวคนที่สองของน้า
“ไม่เจอหรอก...” ฉันรีบตอบก่อนที่แม่จะถาม “มันทำไมไม่โทรหาหนูล่ะ”
นั่นทำให้แม่เงียบไปเองในที่สุด
ส่วนคนสุดท้อง “หนูแตน” สุดที่รักของทุกคน ฉันได้ยินแว่ว
ๆว่า น้าขอให้เรียนที่บ้านเพราะไม่อยากเสียลูกสาวให้กับกรุงเทพฯอีกคน ฉันจึงไม่ได้ยินแม่ถามว่า เจอหนูแตนหรือยัง
แต่กลับได้เห็นหน้าหนูแตนในวันหนึ่งที่ฉันกับแม่พากันไปเยี่ยมน้า
ตอนที่ฉันได้เห็นหน้าน้า ฉันจึงนึกออกว่าฉันได้จากบ้านไปนานแค่ไหนน้าที่หน้าตาเหมือนแม่แต่ดูสาวและสวยกว่า บัดนี้
ดูแก่ไปมากกว่าแม่อีกน้านอนอยู่บนเตียง
ผิวซีดจนขาว
หัวยุ่งและตาลึก
“อ้อ....แมว” น้าทัก “มาเยี่ยมแม่รึ”
ฉันไหว้น้า คุยเรื่องชีวิตการทำงานที่กรุงเทพฯอยู่พักหนึ่ง
น้าก็ถามว่า “เมื่อไหร่จะแต่งงานล่ะ”
ฉันหัวเราะ
นึกถึงประโยคที่แม่เคยบอกกับน้าตอนฉันอายุสิบเอ็ดขวบจึงตอบน้าไปว่า “แมวกำลังดูอยู่
กลัวเจอคนเจ้าชู้”
แม่กับน้าหัวเราะชอบใจ สักพักหนึ่ง
ฉันจึงเลี่ยงออกไปเดินเล่นกับหนูแตน
เธอเป็นเด็ก
เหงา
ๆ พูดน้อย
ฉันจึงไม่มีอะไรจะพูดกับเธอมากนัก
ขากลับแม่เล่าให้ฟังว่า
น้าเป็นมะเร็งปากมดลูกขั้นที่สาม
และอาจไม่รอด ฉันตกใจเล็กน้อย
“น้าผู้ชายเขามีอีหนู”
แม่กระซิบกระซาบ ฉันตกใจอีกเล็กน้อย
ฉันแต่งงานแบบคนกรุงเทพฯ รับแม่มางานทำบุญเลี้ยงพระ แต่ไม่ต้องไปงานเลี้ยงที่โรงแรม นัยน์ตาแม่ที่มองดูลูกเขยดูห่วงใย แต่แม่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ก่อนขึ้นรถกลับบ้านแม่บอกกับฉันว่า
“ใจเย็น ๆ นะลูก
เราเลือกของเราเองนะ”
นั่นเป็นประโยคที่ทำให้ฉันอดยิ้มไม่ได้ แต่หลังจากนั้นอีกหกเดือนฉันก็ยิ้มไม่ออก
เพราะผู้ชายที่ฉันเลือกแล้วว่าดีกลายเป็นคนเจ้าชู้อย่างมหันต์ ฉันกลับไปหาแม่บ่อยขึ้นเพื่อที่จะถาม
ประสบการณ์เรื่องการต่อกรกับคนเจ้าชู้ แม่ดูเต็มอกเต็มใจเล่า แถมยังเล่าเรื่องสามีของน้ากลางแถมให้อีก
วันหนึ่ง เมื่อฉันไปถึงบ้านแม่ แม่ก็ส่งข่าวร้าย
“น้าแกแย่เต็มทีแล้วนะ....” แม่ว่า “ไปเยี่ยมเสียหน่อยสิ”
ฉันไปเยี่ยมน้าที่โรงพยาบาล
และไม่รู้เลยว่านั่นเป็นการเยี่ยมครั้งสุดท้าย น้าผอมจนเหลือแต่กระดูก อาการกระหนุงกระหนิงกับแม่หายไป ฉันเห็นแต่น้ำตาไหลเป็นทาง น้าหันมามองทางฉันแล้วพูดประโยคที่แปลกหูที่สุด
“แมว...ฝากน้องสองคนที่กรุงเทพฯด้วยนะ”
น้าคงหมายถึงตุ๊กตากับตุ๊กตุ่นที่ไปเรียนกรุงเทพฯ ฉันไม่รู้แล้วว่าน้องสองคนนั้นเรียนอะไร จบหรือยัง
ทำงานที่ไหน ชีวิตในกรุงเทพฯ
ทำให้สายใยของความเป็นพี่เป็นน้องของเรายืดไกลจากกันไปโดยอัตโนมัติ
น้าตายในอีกหนึ่งเดือนต่อมา ฉันไปงานศพคนเดียว
สามีไม่ได้ไปด้วยเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นหน้าน้องสาวลูกน้าสามคนพร้อมกันนับแต่เธอโตเป็นสาวทำให้ฉันเห็นใจน้าเป็นอันมาก
เพราะลูกสาวสามคนของน้าสวยมากอย่างน่าเป็นห่วงในสังคมปัจจุบัน แม่เศร้าเรื่องการตายของน้ามาก แต่ไม่ร้องไห้
หากช่วยงานศพน้าอย่างแข็งขัน
จนดูเป็นเจ้าภาพมากกว่าน้าผู้ชายเสียอีก
หลังจากงานศพแล้วแม่ดูซึม ๆ ไป
“
ก็มีกันอยู่แค่สองคน น้าแกตายไปแล้ว แม่ก็วังเวงนะ”
“ลุงกับน้าชายไงล่ะ” ฉันหมายถึงพี่น้องผู้ชายของแม่
แม่หัวเราะแล้วว่า “นั่นมันผู้ชาย”
นั่นมันผู้ชาย ประโยคของแม่กลายเป็นประโยคของฉัน
เมื่อผู้ชายที่ฉันแต่งงานด้วยมีผู้หญิงคนใหม่เร็วกว่าพ่อเสียอีก เขาไปกับผู้หญิงคนใหม่ใคร ๆ ก็พากันมาฟ้องฉัน
“ผู้หญิงสวยกว่าแก เด็กกว่าแก”
เพื่อนช่างฟ้องคนหนึ่งบอก
ในที่สุดความลับก็เปิดเผยออกมา
มันเจ็บปวดยิ่งกว่าการได้รู้ว่าเขาไปมีคนอื่นโดยทั่วไป เพราะผู้หญิงที่เขาเลือกใหม่นั้นคือตุ๊กตา ลูกสาวคนโตของน้า
ฉันมารู้เรื่องนี้หลังจากที่เลิกกับเขาไปแล้วโดยไม่ต้องจดทะเบียนหย่า เพราะเราไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า ตุ๊กตารู้หรือไม่ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นสามีของฉัน ฉันรู้แต่ว่าสามีของฉันคงไม่รู้ เพราะเขาไม่เคยพูดถึงเธอ และฉันก็ไม่เคยพูดถึงเธอ และก็พอคาดเดาได้ด้วยว่า เธอก็คงไม่เคยพูดถึงฉันเช่นกัน เราเป็นพี่น้องกัน อยู่ในจังหวัดเดียวกัน แต่ไม่มีอะไรที่แสดงว่าเราเป็นพี่น้องกันเลย มันเป็นเรื่องร้าย ๆ
ของชีวิตที่ฉันนึกไม่ถึงเหมือนกันว่า จะพบเจอ
ฉันคิดอยู่นานว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟังดีหรือไม่
ในที่สุดก็ต้องเล่าให้ฟัง แม่นิ่งอึ้งไปนาน ในที่สุดก็พูดขึ้นว่า
“มันคนละยุคกันนะ”
นับแต่วันที่รู้แน่ว่า ตุ๊กตามาแย่งผู้ชาย (แม้จะเลว) ของฉันไป
ฉันก็รู้สึกสิ้นเยื่อใยกับน้าไปโดยไม่รู้ตัว ฉันไม่พูดถึงน้า ไม่ถามไถ่เรื่องใด ๆ
ทั้งสิ้น แม่ก็ดูเหมือนจะเข้าใจอารมณ์นี้ของฉันเช่นกัน
เพราะแม่ไม่เคยพูดถึงน้าอีกเลยรวมทั้งน้องสองคนที่เหลือด้วย
วันหนึ่งฉันขับรถไปหาแม่ เราเริ่มต้นด้วยการพูดถึงลุงใหญ่
ลุงรองแล้วก็พูดต่อเรื่อยไปจนปิดท้ายด้วยน้าเล็ก ซึ่งเป็นน้องสุดท้องของแม่
มีอยู่คนเดียวที่แม่ละเว้นไม่เล่าถึงเลยก็คือน้ากลาง ฉันก็ละเว้นไม่พูดถึงเช่นกัน
ตอนจบของเรื่องเล่าจึงเต็มไปด้วยความอึดอัด ฉันลุกขึ้นหนีแม่เข้าห้องนอน อ่านหนังสือจนหลับไป พอตื่นขึ้นมาก็คว้าหนังสือจะอ่านต่อ ปรากฏว่าหนังสือหล่นไปใต้เตียง ฉันจึงก้มลงไปหยิบออกมา ชิ้นแรกเป็นสมุดเฟรนด์ชิปของฉันสมัยเรียนชั้นมัธยมปลาย จึงเปิดอ่านด้วยความเพลิดเพลิน ดีจังที่แม่เก็บมันไว้มีรูปเก่า ๆ
มีผ้าเช็ดหน้าเก่า แถมด้วยสมุดพกที่แสดงว่าฉันเป็นเด็กเรียนดี ฉันรื้อของออกมาเรื่อย ๆ
ชิ้นสุดท้ายวางอยู่ก้นลัง เก่า เหลือง
และดูกรอบเกรียม
หนังสือของน้า
หนังสือเล่มที่ฉันแอบเอามาจากบ้านน้าในวันที่แม่ไปรับกลับบ้าน มันก็หนังสือเล่มหนึ่ง “ วันเวลาที่เหลืออยู่” ปกก็ไม่มี ชื่อคนเขียนก็ขาดหายไป แต่กลิ่นอายของมันกลับเป็นของน้า มันกระตุกหัวใจฉันอย่างแรง รอยยิ้มของน้า
น้ำตาของน้า
น้าในวันที่สวยสดงดงาม
น้าในวันที่ทรุดโทรม
น้าคนที่นอนอ่านหนังสือและสอนให้ฉันทำการบ้านใต้แสงตะเกียง
น้ำตาที่ไม่เคยไหลให้น้ารินออกจากดวงตาราวกับเขื่อนทลาย
ฉันมองไปที่ประตูเห็นแม่ยืนอยู่ ตาแม่มองที่หนังสือเล่มนั้น ริมฝีปากของแม่มีรอยยิ้ม
ฉันเห็นน้ำตาของแม่ไหลทะลักทลายเช่นเดียวกัน
มันอาจจะเป็นม่านน้ำตาของฉันที่ผ่านไปเห็นแม่ แต่ไม่เป็นไร
จะเป็นน้ำตาของใครก็เหมือนกัน
เราต่างร้องไห้ให้แก่คนคนเดียวกัน คนที่เราไม่อาจเอาเขาออกไปจากชีวิตของเราได้
แม้เขาจะตายไปแล้วก็ตาม
ที่มา : ชมัยภร แสงกระจ่าง ในสวนฝันรวมเรื่องสั้นหลากหลายความรักหลายความฝัน
กรุงเทพมหานคร :ชมนาด, 2547
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น