วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สิ่งที่หลงเหลืออยู่


เรื่องสั้น  สิ่งที่หลงอยู่


                                   ชมัยภร   แสงกระจ่าง


แม่กับน้าเป็นลูกสาวเพียงสองคนของตากับยาย  นอกนั้นอีกสามคนเป็นผู้ชาย  แม่กับน้าจึงดูเป็นพี่น้องที่รักกันมาก  แถมยังคล้ายกันมากอีกด้วยทั้งรูปร่างหน้าตาและวิธีพูดวิธีเดิน  คนที่รู้จักแม่และน้า  หากไม่ได้พบกันนาน ๆ ก็จะทักผิดเสมอ  แม้แต่ฉันตอนที่เป็นเด็ก  ฉันก็เคยหลงเสียงของคนทั้งคู่มาแล้ว  ตอนนั้นแม่มีปัญหาชีวิตที่หนักหน่วงเรื่องพ่อ  น้าซึ่งยังไม่แต่งงาน  จึงช่วยเอาลูกของแม่ไปเลี้ยงดูให้ทั้งสองคน  พี่นกอายุ  ๑๑ ขวบและฉันอายุ  ๘ ขวบ สำหรับฉันเมื่อต้องจากแม่ก็คิดถึงแม่มาก  และเผลอวิ่งลงบันไดบ้านมาทุกครั้ง  เมื่อน้าเห็นตาโต ๆ ของฉันมีแววสงสัย  น้าก็จะถามว่า
มองหาใคร....แมว
                ฉันก็จะส่ายหน้าจนผมม้าสะบัด  วิ่งกลับขึ้นบ้านไปอีกครั้ง  บางครั้งความคิดถึงแม่ทำให้ฉันไม่เชื่อหูหรือตาตัวเอง  ต้องไปแอบนอนอยู่บนบ้านเอาตัวแนบพื้นกระดานและมองลอดช่องระหว่างชั้นเพื่อดูว่า  แม่มาจริง ๆ แล้วไปแอบซ่อนตัวอยู่  หรือว่าฉันระแวงไปเอง
                บางครั้งบางหนฉันก็ค้นพบว่า  เสียงของน้านั่นแหละที่ทำให้ฉันหลงไป  ฉันเคยบอกเรื่องนี้กับพี่ชาย  เขาหัวเราะแล้วว่า
                ยายบ้า
                ก็เขาโตแล้ว  แล้วเขาก็เป็นผู้ชายด้วย  เขาจึงไม่คิดถึงแม่เหมือนฉัน
                กว่าแม่จะผ่านพ้นปัญหาชีวิตไปได้จนมีแรงใจและแรงเงินจะเอาเรากลับไปเลี้ยงดูอีกครั้ง  เวลาก็ผันผ่านไปแล้วถึงสามปี  ฉันอายุสิบเอ็ดขวบและเริ่มหัดอ่านหนังสืออ่านเล่น น้ายังไม่แต่งงานและฉันเริ่มติดน้าและหนังสือของน้า  จึงไม่ค่อยอยากกลับไปอยู่กับแม่ ฝ่ายพี่ชายไม่ว่าอะไร  ท่าทางเขาสบายอกสบายใจที่จะอยู่กับใครก็ได้  ไม่ว่าจะเป็นน้าหรือแม่   เขาไม่อนาทรร้อนใจเท่าไหร่  ฉันยังนึกอยากเป็นผู้ชายบ้างจะได้ไม่ต้องมานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งตอนแม่มารับกลับบ้าน
                แมวคิดถึงน้า
                น้ากับแม่หัวเราะกันยกใหญ่  ตอนที่ฉันร้องไห้ฮือ ๆ โดยนึกไม่ออกเหมือนกันว่าร้องไห้ทำไม  น้ามองหน้าฉันแล้วถามว่า
              ร้องไห้ทำไม  แมว
                ฉันไม่ตอบเพราะตอบไม่ได้  จึงวิ่งหนีไปซ่อนในกองหนังสือของน้า  บอกตนเองว่าฉันไม่ได้รักน้าเท่าแม่  และตามนวนิยายที่ฉันอ่าน  แม่ทุกคนรักลูก  ฉันแอบมองจากกองหนังสือเห็น
น้ากับแม่นั่งคุยกัน  ท่าทางสนุกสนานบานใจฉันก็เลยดูเพลิน  เสียงกระหนุงกระหนิงของแม่กับน้าฟังแทบไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร เว้นแต่เวลาหัวเราะ  น้าจะเสียงแหลมสูงกว่าแม่นิดหนึ่ง
                แม่เรียกฉันกับพี่ชาย แมว  นก  ไปกันเถอะ  เดี๋ยวจะมืด
                ฉันรีบวิ่งออกมาหาแม่  แอบเอาหนังสืออ่านเล่นของน้าใส่กระเป๋ามาเล่มหนึ่งด้วย
                ก่อนกลับ  แม่หันมาบอกกับน้าว่า
                ดูดี ๆ นะ กลาง  อย่าให้เหมือนพี่ล่ะ
                ฉันเงยหน้าขึ้นมองแม่  ไม่เข้าใจว่าแม่หมายถึงอะไร
                เจอคนเจ้าชู้แล้วน้ำตาตกในแบบพี่
                ตอนนั้นฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอกว่าแม่หมายถึงใคร  แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก  ฉันก็รู้ว่า  ประโยคนั้นแม่หมายถึงพ่อ  เพราะพ่อเป็นคนเจ้าชู้และที่แม่ต้องเอาลูกมาไว้กับน้าก็เพราะต้องย้ายบ้านและจัดการเรื่องหย่าร้างกับพ่อให้เรียบร้อย
                น้าแต่งงานไปในเวลาไม่นานนักหลังจากนั้น  และต่อมามีลูกสามคนเป็นผู้หญิงล้วน  แม่พาฉันกับพี่ชายไปเยี่ยมน้าบ่อย ๆ น้องน่ารักทั้งสามคนตั้งแต่ตัวยังเล็ก ๆ จนกระทั่งตัวโต  น้าชอบบอกพี่นกว่า
                นกเป็นผู้ชายคนเดียวต้องดูแลน้อง ๆ นะ
                สามีของน้าเป็นคนดี  แม่บอกเสมอว่าน้าเลือกได้ดีกว่าแม่  เขารักลูกสาวสามคนราวกับแก้วตาดวงใจ  เราต่างคนต่างเติบโตกันมาเรื่อย ๆ ฉันกับพี่ชายสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้  ฉันไปเรียนที่เชียงใหม่  ในขณะที่พี่ชายไปเรียนที่ขอนแก่น  ฉันกับครอบครัวของน้าจึงเหินห่างกันไปโดยปริยาย  มีแต่แม่กับน้าเท่านั้นที่ยังสนิทแนบแน่น  ทุกครั้งที่อ่านจดหมายของแม่  ฉันจะเห็นภาพของน้าผ่านตัวอักษรของแม่   น้าเขาขายสวนแล้วนะ  ไปเปิดร้านขายเสื้อผ้าอยู่ในเมืองน้าเขารวยแล้ว  ลูกสาวของน้าเข้าโรงเรียนแล้วนะ  ดูเหมือนว่าวิถีชีวิตสมัยใหม่ทำให้เราที่เป็นลูกพี่ลูกน้องแทบไม่ได้เจอกันเลย  ยิ่งฉันเรียนจบและได้ทำงานที่กรุงเทพฯ ฉันก็ยิ่งลืม ๆ ไปแล้วว่ามีลูกน้าอีกตั้งสามคน  
              ครั้งหนึ่งฉันกลับไปบ้าน  แม่ถามว่า  เจอตุ๊กตาบ้างไหม....
                ฉันทำหน้างง ใครน่ะ  แม่  ตุ๊กตา
                แม่หัวเราะ  แล้วว่า  ก็ลูกน้ากลางคนโตไงล่ะ....เขาไปเรียนกรุงเทพฯ  แล้วนะ
              อ๋อ ฉันลากเสียงยาว แม่นึกว่ากรุงเทพฯเหมือนอยู่บ้านเราหรือไง
                แม่นิ่งเงียบไปในทันที
                แต่นั่นแหละ  หลังจากนั้นแม่ก็ลืมไปแล้ว  พออีกสามเดือนเจอกันอีกแม่ก็บอกว่า
              นี่  หนูตุ่นน่ะ  เขาไปเรียนกรุงเทพฯอีกคนแล้วนะ
                คราวนี้ฉันรู้ได้ทันทีว่าแม่หมายถึงลูกสาวคนที่สองของน้า
                ไม่เจอหรอก...”  ฉันรีบตอบก่อนที่แม่จะถาม  มันทำไมไม่โทรหาหนูล่ะ
นั่นทำให้แม่เงียบไปเองในที่สุด
                ส่วนคนสุดท้อง หนูแตน สุดที่รักของทุกคน  ฉันได้ยินแว่ว ๆว่า น้าขอให้เรียนที่บ้านเพราะไม่อยากเสียลูกสาวให้กับกรุงเทพฯอีกคน  ฉันจึงไม่ได้ยินแม่ถามว่า  เจอหนูแตนหรือยัง  แต่กลับได้เห็นหน้าหนูแตนในวันหนึ่งที่ฉันกับแม่พากันไปเยี่ยมน้า
                ตอนที่ฉันได้เห็นหน้าน้า  ฉันจึงนึกออกว่าฉันได้จากบ้านไปนานแค่ไหนน้าที่หน้าตาเหมือนแม่แต่ดูสาวและสวยกว่า  บัดนี้  ดูแก่ไปมากกว่าแม่อีกน้านอนอยู่บนเตียง  ผิวซีดจนขาว 
หัวยุ่งและตาลึก
                อ้อ....แมว น้าทัก  มาเยี่ยมแม่รึ
                ฉันไหว้น้า  คุยเรื่องชีวิตการทำงานที่กรุงเทพฯอยู่พักหนึ่ง น้าก็ถามว่า เมื่อไหร่จะแต่งงานล่ะ
                ฉันหัวเราะ  นึกถึงประโยคที่แม่เคยบอกกับน้าตอนฉันอายุสิบเอ็ดขวบจึงตอบน้าไปว่า  แมวกำลังดูอยู่ กลัวเจอคนเจ้าชู้
                แม่กับน้าหัวเราะชอบใจ  สักพักหนึ่ง ฉันจึงเลี่ยงออกไปเดินเล่นกับหนูแตน  เธอเป็นเด็ก
เหงา ๆ พูดน้อย  ฉันจึงไม่มีอะไรจะพูดกับเธอมากนัก  ขากลับแม่เล่าให้ฟังว่า  น้าเป็นมะเร็งปากมดลูกขั้นที่สาม  และอาจไม่รอด  ฉันตกใจเล็กน้อย
                น้าผู้ชายเขามีอีหนู
                แม่กระซิบกระซาบ  ฉันตกใจอีกเล็กน้อย
                ฉันแต่งงานแบบคนกรุงเทพฯ  รับแม่มางานทำบุญเลี้ยงพระ  แต่ไม่ต้องไปงานเลี้ยงที่โรงแรม  นัยน์ตาแม่ที่มองดูลูกเขยดูห่วงใย  แต่แม่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ  ก่อนขึ้นรถกลับบ้านแม่บอกกับฉันว่า
                ใจเย็น ๆ นะลูก เราเลือกของเราเองนะ
                นั่นเป็นประโยคที่ทำให้ฉันอดยิ้มไม่ได้  แต่หลังจากนั้นอีกหกเดือนฉันก็ยิ้มไม่ออก  เพราะผู้ชายที่ฉันเลือกแล้วว่าดีกลายเป็นคนเจ้าชู้อย่างมหันต์  ฉันกลับไปหาแม่บ่อยขึ้นเพื่อที่จะถาม
ประสบการณ์เรื่องการต่อกรกับคนเจ้าชู้  แม่ดูเต็มอกเต็มใจเล่า  แถมยังเล่าเรื่องสามีของน้ากลางแถมให้อีก 
              วันหนึ่ง  เมื่อฉันไปถึงบ้านแม่  แม่ก็ส่งข่าวร้าย
                น้าแกแย่เต็มทีแล้วนะ.... แม่ว่า ไปเยี่ยมเสียหน่อยสิ
                ฉันไปเยี่ยมน้าที่โรงพยาบาล  และไม่รู้เลยว่านั่นเป็นการเยี่ยมครั้งสุดท้าย  น้าผอมจนเหลือแต่กระดูก  อาการกระหนุงกระหนิงกับแม่หายไป  ฉันเห็นแต่น้ำตาไหลเป็นทาง  น้าหันมามองทางฉันแล้วพูดประโยคที่แปลกหูที่สุด
              “แมว...ฝากน้องสองคนที่กรุงเทพฯด้วยนะ
                น้าคงหมายถึงตุ๊กตากับตุ๊กตุ่นที่ไปเรียนกรุงเทพฯ  ฉันไม่รู้แล้วว่าน้องสองคนนั้นเรียนอะไร  จบหรือยัง  ทำงานที่ไหน  ชีวิตในกรุงเทพฯ ทำให้สายใยของความเป็นพี่เป็นน้องของเรายืดไกลจากกันไปโดยอัตโนมัติ
                น้าตายในอีกหนึ่งเดือนต่อมา  ฉันไปงานศพคนเดียว  สามีไม่ได้ไปด้วยเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นหน้าน้องสาวลูกน้าสามคนพร้อมกันนับแต่เธอโตเป็นสาวทำให้ฉันเห็นใจน้าเป็นอันมาก  เพราะลูกสาวสามคนของน้าสวยมากอย่างน่าเป็นห่วงในสังคมปัจจุบัน  แม่เศร้าเรื่องการตายของน้ามาก  แต่ไม่ร้องไห้  หากช่วยงานศพน้าอย่างแข็งขัน  จนดูเป็นเจ้าภาพมากกว่าน้าผู้ชายเสียอีก  หลังจากงานศพแล้วแม่ดูซึม ๆ ไป
                ก็มีกันอยู่แค่สองคน  น้าแกตายไปแล้ว  แม่ก็วังเวงนะ
                ลุงกับน้าชายไงล่ะ  ฉันหมายถึงพี่น้องผู้ชายของแม่
                แม่หัวเราะแล้วว่า นั่นมันผู้ชาย
                นั่นมันผู้ชาย  ประโยคของแม่กลายเป็นประโยคของฉัน  เมื่อผู้ชายที่ฉันแต่งงานด้วยมีผู้หญิงคนใหม่เร็วกว่าพ่อเสียอีก  เขาไปกับผู้หญิงคนใหม่ใคร ๆ ก็พากันมาฟ้องฉัน
                ผู้หญิงสวยกว่าแก  เด็กกว่าแก
               เพื่อนช่างฟ้องคนหนึ่งบอก
                ในที่สุดความลับก็เปิดเผยออกมา  มันเจ็บปวดยิ่งกว่าการได้รู้ว่าเขาไปมีคนอื่นโดยทั่วไป  เพราะผู้หญิงที่เขาเลือกใหม่นั้นคือตุ๊กตา  ลูกสาวคนโตของน้า  ฉันมารู้เรื่องนี้หลังจากที่เลิกกับเขาไปแล้วโดยไม่ต้องจดทะเบียนหย่า  เพราะเราไม่ได้จดทะเบียนสมรส  ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า  ตุ๊กตารู้หรือไม่ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นสามีของฉัน  ฉันรู้แต่ว่าสามีของฉันคงไม่รู้  เพราะเขาไม่เคยพูดถึงเธอ  และฉันก็ไม่เคยพูดถึงเธอ  และก็พอคาดเดาได้ด้วยว่า  เธอก็คงไม่เคยพูดถึงฉันเช่นกัน  เราเป็นพี่น้องกัน  อยู่ในจังหวัดเดียวกัน  แต่ไม่มีอะไรที่แสดงว่าเราเป็นพี่น้องกันเลย   มันเป็นเรื่องร้าย ๆ
ของชีวิตที่ฉันนึกไม่ถึงเหมือนกันว่า  จะพบเจอ  ฉันคิดอยู่นานว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟังดีหรือไม่ 
ในที่สุดก็ต้องเล่าให้ฟัง  แม่นิ่งอึ้งไปนาน  ในที่สุดก็พูดขึ้นว่า
มันคนละยุคกันนะ
นับแต่วันที่รู้แน่ว่า  ตุ๊กตามาแย่งผู้ชาย (แม้จะเลว) ของฉันไป  ฉันก็รู้สึกสิ้นเยื่อใยกับน้าไปโดยไม่รู้ตัว  ฉันไม่พูดถึงน้า ไม่ถามไถ่เรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น  แม่ก็ดูเหมือนจะเข้าใจอารมณ์นี้ของฉันเช่นกัน  เพราะแม่ไม่เคยพูดถึงน้าอีกเลยรวมทั้งน้องสองคนที่เหลือด้วย
วันหนึ่งฉันขับรถไปหาแม่  เราเริ่มต้นด้วยการพูดถึงลุงใหญ่  ลุงรองแล้วก็พูดต่อเรื่อยไปจนปิดท้ายด้วยน้าเล็ก  ซึ่งเป็นน้องสุดท้องของแม่  มีอยู่คนเดียวที่แม่ละเว้นไม่เล่าถึงเลยก็คือน้ากลาง  ฉันก็ละเว้นไม่พูดถึงเช่นกัน  ตอนจบของเรื่องเล่าจึงเต็มไปด้วยความอึดอัด  ฉันลุกขึ้นหนีแม่เข้าห้องนอน  อ่านหนังสือจนหลับไป  พอตื่นขึ้นมาก็คว้าหนังสือจะอ่านต่อ  ปรากฏว่าหนังสือหล่นไปใต้เตียง  ฉันจึงก้มลงไปหยิบออกมา  ชิ้นแรกเป็นสมุดเฟรนด์ชิปของฉันสมัยเรียนชั้นมัธยมปลาย  จึงเปิดอ่านด้วยความเพลิดเพลิน  ดีจังที่แม่เก็บมันไว้มีรูปเก่า ๆ มีผ้าเช็ดหน้าเก่า  แถมด้วยสมุดพกที่แสดงว่าฉันเป็นเด็กเรียนดี  ฉันรื้อของออกมาเรื่อย ๆ ชิ้นสุดท้ายวางอยู่ก้นลัง  เก่า  เหลือง  และดูกรอบเกรียม
หนังสือของน้า  หนังสือเล่มที่ฉันแอบเอามาจากบ้านน้าในวันที่แม่ไปรับกลับบ้าน  มันก็หนังสือเล่มหนึ่ง  วันเวลาที่เหลืออยู่  ปกก็ไม่มี  ชื่อคนเขียนก็ขาดหายไป  แต่กลิ่นอายของมันกลับเป็นของน้า  มันกระตุกหัวใจฉันอย่างแรง  รอยยิ้มของน้า  น้ำตาของน้า  น้าในวันที่สวยสดงดงาม  น้าในวันที่ทรุดโทรม  น้าคนที่นอนอ่านหนังสือและสอนให้ฉันทำการบ้านใต้แสงตะเกียง
น้ำตาที่ไม่เคยไหลให้น้ารินออกจากดวงตาราวกับเขื่อนทลาย
ฉันมองไปที่ประตูเห็นแม่ยืนอยู่  ตาแม่มองที่หนังสือเล่มนั้น  ริมฝีปากของแม่มีรอยยิ้ม 
ฉันเห็นน้ำตาของแม่ไหลทะลักทลายเช่นเดียวกัน  มันอาจจะเป็นม่านน้ำตาของฉันที่ผ่านไปเห็นแม่  แต่ไม่เป็นไร  จะเป็นน้ำตาของใครก็เหมือนกัน
เราต่างร้องไห้ให้แก่คนคนเดียวกัน  คนที่เราไม่อาจเอาเขาออกไปจากชีวิตของเราได้ 
แม้เขาจะตายไปแล้วก็ตาม

ที่มา  ชมัยภร  แสงกระจ่าง   ในสวนฝันรวมเรื่องสั้นหลากหลายความรักหลายความฝัน   
             กรุงเทพมหานคร :ชมนาด,  2547

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น