เรื่องสั้น อัตตาธิปไตย
คุณเคยฟังแล้วหรือยังครับ เพลงลูกทุ่ง
เพลิน พรมแดนเป็นผู้ร้อง ที่ดังมากจนกระทั่งถูกสั่งห้ามออกอากาศเฉียดวันเลือกตั้ง ก็เพลงนั้นแหละครับ วุ้ยน่าร้าก น่ารัก ผมฟังหลายสิบหนแล้วเจอตู้เพลงที่ไหนก็หยอด ๆ
ฟัง แล้วหัวร่อหุบปากไม่ลงเกิดความรักชาติศาสน์กษัตริย์อยากไปเลือกตั้งขึ้นมาตงิด
ๆ
แต่จะเลือกพรรคไหนก็ยังไม่บอกนะครับ
ต้องขอพิจารณาดูก่อน
ก็ท่านบอกให้เลือกพรรค
แต่แต่ละพรรคของท่านนั้นมีแต่คนแย่ ๆ ทั้งนั้น กลั้นใจก็แล้วหลับตาก็แล้วก็ยังเลือกไม่ลง
อยู่บ้านนอกอย่างนี้รู้ประวัติความเป็นมากันละเอียดลออครับ ไม่มีความลับในเมืองเล็กหรอก ผมจะบอกให้
เพราะฉะนั้นตามต่างจังหวัดเขาถึงไม่เห็นพรรคเป็นเรื่องสำคัญ
“คนดีแล้ว อยู่พรรคไหน ๆ ก็ดีว่ะ” เขาว่ากันยังงี้
“แต่คนเลว ๆ
ไปอยู่พรรครวมยังไงมันก็ชั่วจนได้
ข้าเลือกคนดีกว่า”
เห็นจะเปลี่ยนใจคนชนบทยากอยู่สักหน่อยละครับที่จะให้เขาใช้ระบบพรรคนั่นน่ะ ก็พรรคมีตั้ง 100 พรรค 1,000 พรรค
ไม่ใช่มีแค่ 4 ซ้า 5 พรรคอย่างทำสังฆัง
หิดสังคม ประชาซิปัด สตังค์ใหม่หรือกระเฉดสังคมเมื่อไหร่
จำแต่ชื่อยังจำไม่หมดเลยครับคนชนบทเขาเลือกแต่คนที่เขาแน่ใจว่าดี บางทีเลือกแล้วอยู่พรรคไหนยังไม่รู้เลยก็มี
“กูไม่เห็นจะสน” เขาว่ายังงี้ครับ
ยิ่งใกล้ ฤดูกาลเลือกตั้ง
การสนทนาของแนวร่วมสุรานิยมของพวกเราชาวเขื่อนกิ่วลมก็มีแต่เรื่องการบ้านการเมืองถกเถียงสลับกับเสียงเพลงลูกทุ่งยอดฮิตที่ใครไม่รู้ซื้อแผ่นเสียงมาแล้วก็
ชอบเปิดนัก
คุณต้องเคยได้ฟังบ้างแล้วแน่ ๆ
ก่อนที่จะถูกห้ามออกอากาศผมไม่ต้องบอกเนื้อก็ได้นะครับ
ฟังกันไปก็ร้องตามกันไปจนคอแหบคอแห้งเปลืองเหล้าชะมัด
“เอ็งจะเลือกพรรคไหนวะ เป๋ง”
นิยมถามผมในวันหนึ่ง
“หิดสังคม” ผมตอบอย่างแน่ใจ
“อ๊ะ ทำไมเลือกวะ ถามจริง ๆ”
“ข้าชอบคำขวัญของเขา “เราพูดอย่างทำอย่าง” น่ะ”
“ข้าชอบคำขวัญของพรรคทำสังฆังเป็นบ้า
เขาว่า “ด้านได้อายอด” ว่ะ ”ธนาหัวเราะชอบใจ
“ข้าชอบพรรคชาดไอ เขาขึงขังแบบทหารดีแท้ ๆ “รวมกันเราอยู่ แยกกันมึงตาย” ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ เอิ๊ก” สมคะเนหัวเราะหัวใคร่ แต่พิรุณกลับถอนใจยาว สีหน้าทุกข์ร้อน
“แต่ข้าไม่อยากเลือกใครเลยบอกตรง
ๆ มันเซ็งว่ะ
ข้าว่าชาวบ้านไม่ค่อยจะรู้เท่าไหร่ว่าเขาควรเลือกใคร เท่าที่เห็น ๆ นั้นมีมากเหลือเกินที่เลือกตามผู้ใหญ่บ้านสั่ง นี่พูดกันตามหมู่บ้านจริง ๆ นะ แก่บ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) ว่าใครดีก็เลือกคนนั้น ผู้แทนคนไหนได้แก่บ้านเป็นหัวหน้าคะแนนได้ ก็แปลว่าได้เสียงคนตั้งครึ่งค่อนหมู่บ้าน บางทีชาวบ้านก็เลือกคนที่เขาแจกเงินน่ะแหละ มีคนยืนดักตรงปากทางจะเข้าไปถึงศาลาเลือกผู้แทน คอยแจก
3 บาท 5 บาท บอกว่าลุงเลือกเบอร์ 5 น่ะ พ่ออุ้ยแม่อุ้ย (พ่อเฒ่าแม่เฒ่า) เลือกเบอร์ 3
เบอร์ 7 นะ
แกรับเงินเขาแล้วก็ไปเลือกตามเขาสั่ง
คนบ้านนอกซื่อสัตย์เอ็งก็รู้
เพราะฉะนั้นผู้แทนถึงมักจะไม่ใช่คนดีที่สุดในหมู่ผู้สมัคร แต่เป็นคนรวยที่สุด ไม่ก็คนมีอิทธิพลที่สุด เป็นงั้นไปเพื่อนเอ๊ย”
“นี่ซิประชาชนถึงได้ไม่รู้จักประชาธิปไตยที่แท้จริงเสียที เพราะไม่เคยมีใครไปสอนหรือให้ความรู้เขา มีแต่ไปสั่งว่าต้องทำยังงี้นะ ยังงี้นะถึงจะเรียกว่าประชาธิปไตย แกก็ทำ
แต่ทำไปตามประสาแก”
นิยมบ่น “ผลก็คือ
ประชาธิปไตยคือการที่ชาวบ้านเที่ยวได้เดินขบวนร้องว่ามั่งฮี ขออภิสิทธิ์ผมมั่งฮี
เราเป็นประชาธิปไตยแล้วอย่ามีอภิสิทธิ์เสียคนเดียวซิพวก เฮ้อ”
พูด ๆ
กันวันนั้นแล้วผมก็อดนึกถึงประชาธิปไตยที่บ้านแม่ล้มเขตของผู้ใหญ่เกือกแกไม่ได้
ตอนนั้นเราเพิ่งมาอยู่เขื่อนกิ่วลมกันใหม่
ๆ พอเกิดเป็นชุมชนใหญ่ขึ้น
มีสถานพยาบาล มี
สถานีตำรวจย่อยและมีตลาดผู้คนที่อยู่ลึก ๆ
ในป่าก็ออกมาซื้อข้าวซื้อของและสมัครเป็นคนงานที่เขื่อน เราก็เลยได้รู้ว่านอกจากหมู่บ้านใหญ่นอก ๆ
ออกมาอย่างบ้านแลง บ้านหาดเชี่ยว บ้านเมืองมายและบ้านบุญนากแล้วลึกเข้าไปยังหมู่บ้านเล็ก
ๆ ในป่าอีกหลายหมู่ อย่างบ้านแม่ล้ม บ้านแตะ
บ้านจ้อย
และบ้านยางในกับบ้านยางกลางซึ่งมีพวกแม้วทำไร่อยู่
“ทำไมถึงชื่อแม่ล้ม” ผมกังขา
“มึงอยากจะให้พ่อล้มมั่งละซิ”
ชคส.ด่าดักหน้าไว้ก่อนตามประสาคนขี้ด่า
“ไอ้เป๋งนี่ขี้สงสัย”
ก็น่าสงสัยจริง ๆ นี่ครับ เมืองเหนือนี่พิลึกอะไร ๆ
ก็แม่ทั้งนั้นไม่ยักมีพ่อขึ้นหน้ามั่ง
แม่วัง แม่ปิง แม่ตุ๋ย
แม่มาย แม่สาย แม่ลาว
จนอยู่ตั้งนานผมถึงได้รู้ว่าแม่นั้นแปลว่าแม่น้ำครับ ผู้หญิง
นะแปลกจัง ประเทศก็ใช้สรรพนามเพศหญิง แม่น้ำก็ด้วย
เรือก็ด้วย
แล้วยังอะไรต่ออะไรอีกตั้งแยะ ยัง
ยังไม่พอเสียทีเดินขบวนเรียกร้องสิทธิจะเอาโน่นเอานี่ เออ
แปลก
ทีผู้ชายเขาไม่เห็นเดินขบวนจะขอเป็นช้างเท้าหลังกันมั่งเลย
ผู้หญิงเดินขบวนจะเป็นช้างเท้าหน้าอยู่ได้แปลกพิลึก
เมื่อผมพบกับผู้ใหญ่เกือกหนแรกนั้นผมไถลเข้าไปเที่ยวกับพวกสำรวจของกรมน้ำซึ่งจะเข้าไปดูพื้นที่ที่จะถูกน้ำท่วมเพราะอ่างเก็บน้ำเขื่อนกิ่วลม ช.ม.ร.
หรือนายช่างหัวหน้าหมวดสำรวจ
กิ่วลม คือเทิดพงศ์กับผมนั้นสนิทกัน แต่ก่อนผมเคยเรียกตำแหน่งเขาแต่เขาขอร้อง
“อย่าเรียกเลย เรียกช.ม.ร.
ช.ม.ร.แล้วคิดถึง ช.ม.ก.-
ชั่วเมื่อแก่ทุกที เรียกชื่อดีกว่า”
เราตามพวกสำรวจเขาไปเที่ยวงั้น ๆ
เอง ไม่มีจุดหมายจะไปไหน
พอดีไปพบผู้ใหญ่เกือกเข้ากลางทางผมจำชื่อแกไม่ได้ นึกออกแต่แกมีชื่อประหลาด ๆ ก็เลยยึดที่สูงเข้าไว้ก่อน
“สวัสดีครับ ผู้ใหญ่หมวก”
แกสะดุ้ง ทำหน้าปั้นยาก
“แฮ่ะ แฮ่ะ
ผมชื่อเกือกน่ะนายช่าง”
นี่ถ้าแกชื่อหมวกแล้วผมเรียกผิดเป็นเกือกคงถูกเตะแน่ ดีแต่เรียกต่ำผิดเป็นสูงเลยรอดตัวไป
ผู้ใหญ่เกือกเป็นคนทันสมัย
เดิมเคยเป็นเสมียนอยู่ศาลากลางต่อมาพ่อตายจึงออกมาปกครองไร่นาทรัพย์สมบัติ เคยได้เป็นกำนันตำบลเมืองมายอยู่ 2-3 ปี พอดีเขายุบตำบลเมืองมายเป็นแค่หมู่บ้าน ผู้ใหญ่เกือกอายคน
กลัวเขาจะคิดว่ามีความผิดเลยลาออกไปเป็นราษฎรเต็มขั้น
แต่เป็นอยู่ไม่นานทางการตั้งหมู่บ้านแม่ล้มขึ้น นายอำเภอมาขอร้องให้ไปช่วยเป็นผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่เกือกก็เลยต้องย้ายบ้านเข้าไปอยู่ชายป่า
“ไปเที่ยวบ้านผมซินายช่าง ค้างด้วยกันสักคืนปะไรมี อยู่ถึงพรุ่งนี้เถอะ จะมีการเลือกตั้งด้วยนา”
“เลือกตั้งอะไรผู้ใหญ่”
“เลือกตั้งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ความจริงหลวงก็ให้สิทธิผมตั้งเองได้ แต่ผมไม่อยากให้คนครหา เลยให้เขาเลือกกันเอง”
เทิดพงศ์กับผมเป็นประเภทนกขมิ้นขาอ่อน ค่ำไหนกองนั่นอยู่แล้ว
เลยเรื่อยเจื้อยตามผู้ใหญ่เกือกไปพักบ้านแกแต่โดยดี
บ้านผู้ใหญ่เกือกปลูกด้วยไม้สักหลังใหญ่ ดูโอ่อ่าอัครฐานกว่าบ้านใคร ๆ
แถบนั้นทั้งหมด
ลือกันว่าที่ดินของผู้ใหญ่เกือกนั้นกว้าง
10 วัน ยาว
20 วัน เชียวครับ
เดินรังวัดกันจนลิ้นห้อยในบ้านตกแต่งอย่างชนบทแท้คือผนังประดับด้วยรูปถ่ายเล็กใหญ่และรูปภาพตัดจากปฏิทินเต็มครึ่ด
บนสุดเรียงรายไปด้วยยันต์หลวงพ่อเพ้อ หลวงพ่อโม้
เสด็จพ่อพุงโต
เสด็จทวดปากเบี้ยว ชีปะขาวควายเฒ่า เสด็จเจ้าวัดลวงตาอะไรทำนองนั้น
ผมสะกิดเทิดพงศ์ให้ดูยันต์บนผ้าขาวขนาดยักษ์ที่มุมหนึ่ง
“อุ อึก
อัก สุ แขวนก็ดี
ท่องก็รวย”
“เฮ้ย ยันต์อะไรวะ
ฟังแล้วรู้สึกอึก ๆ อัก ๆ ท้องผูกยังไงชอบกล” เทิดพงศ์กระซิบตอบ
“เขาอาจจะเอาไว้แช่น้ำกินแก้ท้องร่วงก็ได้นา”
นินทาเจ้าของบ้านพอหอมปากหอมคอตามแบบแขกที่ดีแล้ว เราก็กินเหล้าของเขาจนเมาเค้เก้ไป ก็เล่นเลี้ยงเหล้าอย่างอี วี.เอส.
โอ.เค นี่ครับ ฮู้ย
ใสยังกะตาตั๊กแตนไม่เถื่อนเถิ่นอะไรหรอกครับผู้ใหญ่แกทำมาก๊ะมือ
เช้าวันรุ่งขึ้นยังไม่ทันที่เราจะหายสวิงสวาย ชาวบ้านก็อุ้มลูกจูงหลานแห่กันมาเต็มลานบ้าน เสียงหมากัดกัน เสียงแม่ดุลูก
เสียงเด็กร้องไห้ ระงมไป
เราคว้า ส.ร.ถ.
สุราเถื่อนมาถอนกันอีกคนละเป๊กแล้วก็เดินวางท่าองอาจตามผู้ใหญ่เกือกออกไปดูการเลือกตั้ง
ผู้ใหญ่ออกไปยืนเด่นที่นอกชานแล้วเริ่มกล่าวปราศรัยด้วยสำนวนราวกับนายกฯ ในโกศ
“พี่น้องประชาชนที่รักทั้งหลาย
ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ท่านมาประชุมวันนี้เพื่อเลือกผู้แทนราษฎร
เฮ๊ยเพื่อเลือกผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านให้ลุล่วงไปด้วยดี เนื่องด้วยรัฐบาลนี้ต้องการให้เราประหยัด
เราจึงไม่เลือกตั้งกันด้วยการกากระดาษใส่หีบบัตรอย่างเลือกผู้แทนราษฎรและเราจะไม่ใช้การยกมือนับคะแนนด้วย เพราะคนมากด้วยกันจะนับลำบาก และอาจมีการโกงโดยยก 2
มือบ้างยกมือทุกครั้งบ้าง
ข้าพเจ้าจึงเสนอวิธีการเลือกตั้งแบบใหม่ให้ท่านตัดสินใจว่าจะตกลงหรือไม่”
ผู้ใหญ่เกือกยกผ้าขาวม้าเช็ดปากแล้วมองกวาดไปรอบ
ๆ พูดต่อด้วยเสียงกังวาน
“วิธีของข้าพเจ้าก็คือให้ผู้สมัครทั้งหมดซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 8
คนลงคะแนนเสียงเลือกกันเอง
โดยเขียนชื่อคนที่ตัวเลือกลงกระดาษแล้วมามอบให้ข้าพเจ้าเป็นผู้เปิดนับคะแนน คนทั้ง
8
ที่สมัครนี้อ่านออกเขียนได้ทั้งนั้นและเป็นคนดี วิธีนี้เราจะได้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่ดีและสามารถเลือกตั้งได้รวดเร็วด้วย วิธีที่ข้าพเจ้าว่ามานี้ใครจะค้านก็ค้านได้เลย”
เงียบ ไม่มีเสียงใครเป็นครู่ ต่อมาจึงได้ยินเสียงคนพูดกันค่อย ๆ
และมีเสียงเด็กหนุ่ม ๆ ร้องสนับสนุน
แล้วอีกหลายเสียงก็ร่วมแสดงความเห็นชอบด้วย
“ถ้าอย่างนั้นเราจะได้ลงมือเลือกเลย”
ผู้ใหญ่เกือกประกาศพลางอ่านชื่อผู้สมัครทั้ง 8
“นายดวง คำมา
นายอ้าย ชื่นหมื่น, นายแดง ร่วงก๋า, นายบุญทา นกรู้,
นายแสน มาเสียสาย,
นายบุญเลิศ งำวัง,
นายพงศ์ อีนสา แล้วก็นายต๊ะ
หมอช้างเก่า”
ผู้ใหญ่เกือกให้เวลาผู้สมัครไปกล่าวปราศรัยแสดงคุณสมบัติของตนที่ชานบ้านได้คนละ 10
นาที ไม่เลวครับ แต่ละคนพูดเก่ง ๆ ทั้งนั้น พูดกันสด ๆ ไม่ต้องท่องมาจากบ้าน
ไม่ต้องการใช้ผู้บอกบทแล้วก็ไม่ต้องมองเพดานนึกทบทวนที่ท่องมาพูด ยังงี้รับรองได้ว่าไปทำงานทำการที่ไหนเจ้านายไม่
“ทวิช” แน่
เสร็จการปราศรัยแล้วประธานการเลือกตั้งก็แจกกระดาษให้คนทั้ง 8
คนละแผ่น ปากกาคนละด้าม เพื่อเขียนชื่อคนที่ตัวจะเลือกลงไป
การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีการลงคะแนนผี ไม่มีไพ่ไฟ
ไม่มีการเวียนเทียน
ไม่มีทหารมาลงให้หน้าไหนทั้งนั้น
แต่การเลือกตั้งก็ต้องเป็นโมฆะไปทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครทุจริตจนนิดเดียว ไม่มีจริง ๆ ครับ ให้เจ้าหักคอคนอื่นซิเอ้า !
การเลือกตั้งเป็นโมฆะเพราะผลของการเลือกตั้งปรากฏว่าได้ผู้ชนะ 8
คนครับ
แต่ละคนได้คะแนนเท่ากันหมดคือ 1 เสียง
ทำไม หรือครับ
ก็ทุกคนเล่นลงคะแนนเลือกตัวเองหมดนี่ครับ โธ่! โธ่! โธ่!
ที่มา
: มนันยา เรื่องสั้นแสนรักหนึ่งในสามวรรณกรรมหรรษาชุด “ชาวเขื่อน” ลาก่อนกิ่วลม
กรุงเทพมหานคร. ประพันธ์สาส์น. 2537.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น