วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ว่าวสีขาว


เรื่องสั้น ว่าวสีขาว



วู้วว......ลมเหอปิดตูขัดหลักชักคักมาทางนี้มั่งเหอ.....   วู้วว….” 
                หลังจากเสียงแหลมเล็กโห่เรียกลมดังขึ้นยังบริเวณลานวัด  อันเงียบสงบ  เด็กชายทั้งสองก็อยู่ในลักษณะเตรียมพร้อมรอลมที่จะพัดผ่านมา  คนหนึ่งร่างยาวโก้งเก้งผิวดำเป็นคราบ  กำลังยืนนิ่งหยีตาจ้องทวนแสงอาทิตย์ไปทางทิศตะวันตก  มือขวาคอยจังหวะที่จะกระตุกเชือกที่ผูกโยงอยู่กับตัวว่าว  มือซ้ายจับอยู่ที่ขอบกางเกงซึ่งหลวมโพรกเพรก  อีกคนร่างผอมเล็กจนนับซี่โครงได้ถูก  แต่ส่วนท้องกลับป่องกลมเหมือนตัวตลกของหนังตะลุง  เขายืนห่างออกไปอีกด้าน  แขนเล็กลีบทั้งสองกำลังประคองตัวว่าวคอยจังหวะที่จะพุ่งมันขึ้นสู่ท้องฟ้า
                เขาทั้งสองต่างก็หวังว่าหลังจากที่คนหนึ่งพุ่งตัวว่าวขึ้นไปแล้วและอีกคนออกวิ่งพร้อมกับกระตุกเชือกอย่างได้จังหวะ  ว่าวควายตัวใหม่ของพวกเขาก็จะโผขึ้นสู่เบื้องบน  และผงาดอยู่บนท้องฟ้าโดยไม่โฉบหัวลงมาปักดินอีก  เมื่อมันมีโอกาสปะทะเข้ากับความแรงของลมบน
                มือยาวเก้งก้างของก็องกระตุกเชือกนิดหนึ่ง  แล้วยิงฟันสีเหลืองอย่างเคยชิน
                มึงลองโห่อีกครั้งซิไอ้เต้ง  เขาตะโกนสั่ง
                เต้งปล่อยว่าวลงกับพื้น  ม้วนขอบผ้าถุงให้กระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม  เขาอดไม่ได้ที่จะเกากกหูซึ่งหนาเตอะไปด้วยขี้ไคลตังอย่างขัดใจ  ก่อนจะป้องปากส่งเสียงแหลมเรียกลม
                วู้วว.....  ลมเหอ  ปิดตูขัดหลัก  ชักคักมาทางนี้มั่งเหอ...  โห....  วู้วว...
                แล้วเด็กชายก็หยิบว่าวขึ้นมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง
                ใบมะม่วงหิมพานต์ริมกำแพงวัดยังไม่กระดิกไหว  ลมยังเงียบสงบ.....
ก็องกับเต้งเป็นพี่น้องคลานตามกันออกมา  ก็องผู้พี่แก่กว่าเต้งถึง  3 ปี  แต่ทั้งสองเรียนอยู่ชั้น ป.4  เหมือนกัน  ไม่ใช่สิ่งที่น่าวิตกทุกข์ร้อนแต่ประการใด  เพราะการเรียนซ้ำชั้นของก็องเป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้ว  ทั้งในความรู้สึกของตนเอง  ของเพื่อน ๆ และของครูทุกคน  ความสามารถอย่างอื่นที่ไม่มีสอนในโรงเรียนต่างหาก  ที่ก็องคิดว่าเพื่อน ๆ ต่างก็ยอมให้เขา  ตั้งแต่การยิงยางที่แม่นยำ  การทำลูกข่างที่ประณีตสวยงาม  ไปจนถึงการปีนป่ายต้นไม้ที่เหนียวหนึบและรวดเร็วอย่างหาตัวจับยาก  ไม่ว่าจะปีนต้นตาลที่เขาขึ้นคาบน้ำตาลอยู่ทุกเย็นโดยไม่ต้องใช้พะอง  หรือปีนต้นมะพร้าว  ต้นหมากที่หลวงตาใช้ให้ขึ้นไปเก็บลูกของมัน  แม้กระทั่งยอดไผ่ขนาดข้อมือเขาก็เคยพิสูจน์ให้ประจักษ์มาแล้วเมื่อไม่นานมานี้  โดยการเสี่ยงต่อการหักลำไผ่อ่อนยวบขึ้นไปเอารังนกกระจาบที่ห้อยอยู่บนปลายสุดของมันลงมาจนได้
เด็กทั้งสองอาศัยอยู่กับยายที่กระท่อมเก่าโทรมใกล้กำแพงวัดพ่อแม่จากไปตั้งแต่เต้งยังเรียนอยู่ชั้น  ป.1 แม่ตายเพราะเป็นฝีในตับ  พ่อมีเมียใหม่และจากไปเหมือนตายจาก  จะไปอยู่ที่ไหน  อย่างไรก็องไม่เคยสนใจ  และคิดว่ามันไม่สำคัญไปกว่าการขึ้นตาลเพื่อเอาน้ำหวานของมันมาเคี่ยวเป็นน้ำผึ้งเหลวและทำน้ำผึ้งแว่นให้ยายเอาไปขายที่ตลาดนัดในตัวอำเภอแต่อย่างใด  สำหรับเต้งนั้นเมื่อพ่อจากไปใหม่ ๆ เขาก็คิดถึงและเรียกหาอยู่บ้าง  แต่เมื่อนาน ๆ เข้ามันก็ค่อยเปลี่ยนเป็นความเคยชิน  เต้งคิดว่าเขายังมียายที่ขยันขันแข็ง  และยังนำน้ำผึ้งแว่นกับน้ำผึ้งเหลวขึ้นรถสองแถวไปขายที่ตลาดนัดในอำเภอได้อย่างคล่องแคล่ว  จนแม่ค้าน้ำผึ้งสาว ๆ ในหมู่บ้านพากันขยาดไปตาม ๆ กัน
ชั่วเวลาเพียง 1 3 ปี ชื่อของพ่อดูเหมือนไม่เคยผ่านริมฝีปากของเด็กชายทั้งสองอีกเลย....
ใบมะม่วงหิมพานต์ริมกำแพงวัดไหวกราว  ใบแก่สองสามใบร่วงผล็อยจากกิ่งก้านลงไปแถกอยู่กับพื้นดินปนทราย  ก็องแหย่นิ้วชี้เข้าปากแล้วชูขึ้นตรวจทิศทางลม  หลังนิ้วที่เย็นวาบบอกเขาว่าลมกำลังเริ่มพัดในทิศทางที่เขากำลังรออยู่
ไอ้เต้งเร็วเว้ยลมพัดแล้ว!”
เด็กชายตะโกนบอกพร้อมกระตุกเชือกเร่ง
เต้งรีบนุ่งผ้าอย่างลนลาน  เขาม้วนชายผ้าตรงท้องน้อยเป็นก้อนอย่างลวก ๆ แล้วรีบหยิบตัวว่าวขึ้นมา
เอาเลย !” ก็องตะโกนสั่ง
เต้งพุ่งตัวว่าวขึ้นไปจนสุดแรงเกิดในทันทีนั้น  ก็องกระตุกเชือกหาจังหวะสองสามครั้งก่อนจะออกวิ่งลากให้ว่าวไต่ลมสูงขึ้นเจ้าว่าวควายตัวโปรดที่ทั้งสองใช้เวลาเกือบสองอาทิตย์ทำมันขึ้นมาโผขึ้นสู่เบื้องบนอย่างองอาจ  มันเล่นลมแต็ก ๆ แถกซ้ายแถกขวาสองสามทีแล้วไต่ระดับสูงขึ้นไปอีก  ก็องปล่อยเชือกให้มันอย่างระมัดระวังสลับกับการกระตุกและออกวิ่งอย่างไม่ยอมไว้วางใจ  เมื่อมันปะทะเข้ากับลมบนซึ่งพัดแรงอยู่เสมอ  มันก็สามารถร่อนตัวเล่นลมอยู่บนฟ้าได้อย่างเร็วภาคภูมิ
บัดนั้น  ว่าวสีขาวตัวนั้นก็ขึ้นไปลอยฟ่องอยู่กับเกล็ดเมฆสีเงินเห็นลิบ ๆ โน้นแล้ว  แอกใบลานของมันคราง  เว้ยยย.....เว้ยยย...”  ผ่านฟ้าลงมาให้ได้ชื่นใจ  พวกเขาเคยคิดเสมอว่าแอกว่าวเดือนห้าช่างพลิ้วสั่นและฟังไพเราะกว่าปี่ซังข้าวเป็นไหน ๆ

ก็องหยุดยืนยิงฟันและปล่อยเชือกจากขดออกไปช้า ๆ ส่วนเต้งนั้นกระโดดตัวลอยออกเสียงตะโกนกลั้วเสียงหัวเราะดังลั่นไปหมด  เขาดีใจมากกว่าเจ้าของจริง ๆ ของมันเป็นร้อยเป็นพันเท่า   เมื่อหมดเชือกในขด  ว่าวก็ร่อนอยู่บนท้องฟ้าสูงลิบจนเกือบดูไม่เห็น  เสียงลมผ่านแถบใบลานดึงแอกครางหวีดหวิวท้าทาย  บางครั้งดัง  บางครั้งเลือน  และบางครั้งเงียบหายไป  ก็องผูกปลายเชือกกับกิ่งมะม่วงหิมพานต์  แล้วออกไปยืนเคียงข้างน้องชายหยีตาแหงนดูว่าวที่ลอยฟ่องอยู่บนฟ้า  ปากดำเกรียมของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อย  ฟันสีเหลืองอวดแถวอันไร้ระเบียบของมันอยู่ท่ามกลางแดดบ่ายอันเจิดจ้า    เสียงถอนหายใจอย่างเป็นสุขของเต้งพลิ้วสั่นจนสัมผัสได้  แล้วพี่น้องทั้งสองก็เดินกอดคอกันเข้าสู่ร่มเงาของมะม่วงหิมพานต์ริมกำแพงวัด......
เลยเที่ยงไปนานโขแล้ว  เต้งเพิ่งนึกได้ว่าเขามัวยุ่งอยู่กับว่าวจนลืมให้วัวกินน้ำ  เด็กชายร้องบอกพี่ชายสองสามคำแล้ววิ่งติ้วข้ามถนนหายไปกับทุ่งข้าวฟากตรงข้าม  ก็องยังยืนอยู่  อีกอึดใจก็เต้นเก็งก็องข้ามถนนลาดยางที่ร้อนเหมือนเหล็กเผาไฟตามน้องชายไปด้วย  เขาเลี่ยงเข้าหาร่มเงาของมะขามใหญ่ริมถนน  ยกท่อนแขนขึ้นเช็ดเหงื่อบนใบหน้า  แล้วเอนกายลงนอนหนุนรากมะขาม  สีเขียวของใบข้าวที่กำลังตั้งท้องอ่อน ๆ อัดเต็มอยู่ในบิ้งนาไกลออกไป  น้าเติมบอกเขาว่ายังได้ยินเสียงซังข้าวปะทุป็อกแป็ก  เพราะโดนแดดเผายังไม่ถึงฤดูเล่นว่าวเพราะลมยังไม่แรงพอ  แต่เด็กชายไม่เชื่อ  เขาอยากจะเริ่มต้นก่อนใครในหมู่บ้านสำหรับการเล่นว่าวปีนี้  และเริ่มเหลาไม้ทำโครงว่าวในขณะที่ข้าวยังไม่แตกรวง
เมื่อมีลม  ไม่ว่าฤดูไหน ๆ ว่าวก็ขึ้นไปบนฟ้าได้ทั้งนั้น  เด็กชายยืนยันถึงความมั่นใจ
ยังไม่ถึงเดือนห้า  ลมยังไม่แรง  น้ำก็ยังไม่แห้งทุ่ง  ว่าวเทวดาก็ไม่ขึ้นหรอกวะ  ลุงเขียดซึ่งผ่านมาเห็นเขานั่งดัดโครงว่าวอยู่ใต้ต้นนุ่น  ร้องบอกพร้อมเสียงหัวเราะหึ ๆ อย่างอารมณ์ดี
เด็กชายไม่สนใจ  คงก้มหน้าก้มตาทำงานของเขาต่อไปอย่างตั้งใจ
มึงจะปีนขึ้นไปได้ยังไง?  ไม้ไผ่ลำเท่าแขน  ตัวมึงก็หนัก  ลมบนก็แรง  ขึ้นไปสูง ๆ เดี๋ยวก็ตกลงมาคอหักหรอก
เขายังจำได้  ตาเพิ่มเคยออกปากห้าม  ขณะที่เขาเตรียมปีนลำไม้ไผ่เพื่อจะเอารังนกกระจาบที่ห้อยโตงเตงอยู่บนยอด  เด็กชายไม่ว่าอะไร  แต่เมื่อตาเพิ่มคล้อยหลัง  เขาก็สามารถเลี้ยงตัวขึ้นไปเอาสิ่งที่เขาต้องการลงมาได้  ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายของเจ้าเต้งซึ่งเต้นเหยงแหงนหน้าดูพี่ชายอยู่อย่างเป็นห่วง
แอกว่าวครางเว้ย ๆ เหมือนแว่วอยู่ในเสียงหวีดหวิวของยอดมะขามต้องลม  เชือกว่าวที่โยงระหว่างตัวว่าวกับกิ่งมะม่วงพิมพานต์ริมกำแพงวัดตกท้องช้างเล็กน้อย  ก็องนอนหนุนรากมะขามจับตาอยู่ที่ว่าวสีขาวซึ่งเห็นเป็นจุดเล็ก ๆ ลอยฟ่องอยู่บนฟ้ากว้าง  เต้งซึ่งเพิ่งกลับจากให้วัวกินน้ำนั่ง
แหงนดูอยู่ด้วย  ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาเกาะพราวไปด้วยเม็ดเหงื่อใต้จมูกเปียกชื้นเจือรสเค็ม 
ริมฝีปากเกรียมดำนั้นแห้งผากด้วยกระไอแดด  แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยประกายอันวาววามดูลึกล้ำและอิ่มเอิบอยู่ด้วยความสุขสมอันกว้างใหญ่ไพศาล
พรุ่งนี้ครูว่าให้มึงไปโรงเรียน  จู่ ๆ เสียงแหบแห้งของเต้งก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ
ก็องเปลี่ยนสายตาจากเงาว่าวมาจับที่วงหน้าเหลืองอมดำของน้องชาย  เหยียดยิ้มนิดหนึ่ง
 “พรุ่งนี้กูจะเอาว่าวไปวางกลางทุ่งนาแล้วจะนอนดูมันทั้งวัน
แต่ครูบอกว่าถ้ามึงขาดเรียนอีก  แกจะตามมาหวดมึงถึงบ้าน
ก็องถอนใจใหญ่  เสียงที่ผ่านลำคอออกมาเบาจนเกือบไม่ได้ยิน
กูอยากออกโรงเรียน
จบ ป.4  แล้วมึงก็ออกได้นี่  กูรึใคร ๆ ก็ได้ออกกันทั้งนั้น
แต่กูไม่อยากไปอีกแล้ว  กูคิดเลขไม่เป็น
ก็ครูเขาจะสอนให้
หวดกูนะไม่ว่า
เต้งเงียบ
พรุ่งนี้วันจันทร์...... ก็องว่าต่อ    “เพื่อน ๆ ในห้องจะต้องตื่นเต้นกับความสำเร็จของกูบ้านเราปีนี้กูเป็นคนทำว่าวตัวแรกและมันขึ้นไปลอยอยู่บนฟ้าได้ทั้ง ๆ ที่น้ำยังคึงนา
เต้งยิ้มอย่างพลอยเป็นสุขกับพี่ชายไปด้วย สองสามวันมึงทำให้กูซักตัวด้วยนะ
ฮื่ม...  มึงตัดไม้ไผ่มาสิ
กอไหน?
กอข้างโรงเรียนน่ะแหละตัดง่ายดี  เลือกลำแก่ ๆ หน่อยแล้วกัน
ทั้งสองนิ่งเงียบ  สายตาและหัวใจต่างก็ลอยล่องไปกับว่าวสีขาวบนท้องฟ้าเนิ่นนาน
แล้วเต้งก็ลุกขึ้นยืน กูไปเลื่อนเชือกมันมาผูกตรงนี้ดีกว่านะ
ทำไมล่ะ?
เอามาผูกใกล้ ๆ มือจะได้นอนดูมันพลางคอยกระตุกเชือกหยอกมันพลาง
ระวังหน่อยแล้วกันเดี๋ยวมันจะโฉบยอดไม้  ว่าวมันหนักหัวแอกใหญ่เกินไป

เต้งวิ่งข้ามถนนเข้าไปในบริเวณวัด  มือแก้เชือกจากกิ่งมะม่วงหิมพานต์  ตาจับอยู่ที่ตัวว่าวตลอดเวลา  เขากลัวว่าการดึงเชือกอย่างไม่ประสีประสาจะทำให้ว่าวปะทะลมหนักขึ้น  และมันอาจจะเสียหลักโฉบหัวเข้าหายอดไม้อย่างที่พี่ชายว่า
บนถนน  ขณะนั้นเสียงรถคันหนึ่งครางกระหึ่มขึ้น  ก็องชะเง้อเห็นรถคันใหญ่กำลังทิ้งโค้งบึ่งมาอย่างรวดเร็ว  ฟากถนนตรงกันข้ามเจ้าน้องชายของเขาก็กำลังถอยยิก ๆ พ้นประตูวัดออกมาและแน่นอนว่าทั้งตาและหัวใจของเจ้าเต้งได้ล่องลอยขึ้นไปอยู่กับว่าวบนฟ้าเสียแล้ว  ทัน ๆ กับความคิดเด็กชายสปริงตัวขึ้นยืนและวิ่งอย่างรวดเร็วออกจากร่มเงาของมะขามใหญ่  พลางตะโกนเสียงหลงห้ามไม่ให้น้องชายข้ามถนน
สายไปเสียแล้ว....  ในขณะนั้นเต้งไม่ได้ยินอะไรอีกเลย  ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเบรกอันโหยหวนและเสียงแผดแหลมของแตรรถใหญ่     เสียงตะโกนอันไม่เป็นภาษาของพี่ชายจึงไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงในท่ามกลางความอื้ออึงอลหม่านนั้น
หลังจากเสียงเบรกกรีดก้อง  กลิ่นยางไหม้ก็ฉุนกึกขึ้นในกระไอแดดอันร้องเปรี้ยง  เต้งสะดุ้งสุดตัวเหมือนเพิ่งตื่นจากหลับฝันอันเป็นสุข  เสียงเบรก  เสียงแตร  และเสียงตะโกนของพี่ชายต่างกรอกขรมเข้าในหูของเขาจนอื้ออึงไปหมด  กว่าจะทันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร  เด็กชายก็กำเชือกแน่นหลับหูหลับตากระโดดข้ามทางไปเสียแล้ว  จังหวะที่รถคันใหญ่เสียหลักส่ายไปมาเหมือนงูเลื้อยอยู่นั้น  เชือกว่าวก็พาดเข้ากับกระจกหน้ารถและขาดผึงลงในทันใด  พริบตาต่อมาก็องก็พุ่งเข้าผลักน้องชายให้ล้มกลิ้งไปบนไหล่ทาง  แล้วตนเองก็วิ่งตามขึ้นไปบนถนนอย่างโกรธจัด  เมื่อฝุ่นถนนที่ปลิวฟุ้งเหมือนฝุ่นที่เกิดจากแรงหมุนของลมหัวด้วนนั้นเริ่มเบาบางลง  ท้ายรถคันใหญ่ก็ลับหายไปแล้วกับแนวโค้งข้างหน้า
ก็องฮึดฮัดยกไม้ยกมือก่นโคตรคนขับตามไปอีกหลายคำ  ก่อนจะหมุนตัวร่อนคว้างอยู่บนถนนเพราะเสียงตะโกนลั่นของน้องชาย
ไอ้ก็อง....  ว่าวขาดลอยไปโน่นแล้วมึง!”
แล้วเจ้าคนตะโกนก็วิ่งข้ามถนนตามไปอย่างรวดเร็วเหมือนติดเครื่องยนต์
ก็องแหงนหน้าขึ้นฟ้า  ว่าวควายสีขาวกำลังร่อนเหมือนนกปีกหักไปยังแนวป่าตะวันตก  เด็กชายอุทานอะไรออกมาคำหนึ่งแล้วควบข้ามถนนตามน้องชายไปติด ๆ ขณะที่เขาวิ่งตัดบริเวณวัดออกสู่ริมทุ่งนั้น  ร่างเล็ก ๆ ของเจ้าเต้งก็กำลังผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ท่ามกลางสีเขียวของใบข้าว  ว่าวสีขาวลดระดับต่ำลงมาแล้ว  แต่ยังพลิกตัวเคว้งคว้างอยู่เหนือแนวป่าชายทุ่งโน้น  เด็กชายสูดลมหายใจลึกแล้วขายาวเก้งก้างก็ควงกวดเป็นจักรผัน  แหงนหน้าดูว่าวบนฟ้าสลับกับก้มดูทางบนคันนา  จนกระทั่งไปทันน้องชายซึ่งยืนหอบซี่โครงบานอยู่ใต้ต้นตาลแนวชายป่า
ก็องหยุดหอบจนตัวโยก  ยืดคอกลืนน้ำลายเหนียวหนืดอย่างยากเย็น  ก่อนจะสำลักคำถาม
มัน..... มัน... ไป.... ไปไหนแล้ว?
เต้งชี้มือโบ้เบ้  ปากก็พะงาบ ๆ อยู่นานสองนานกว่าจะหลุดคำพูดออกมาได้
หายไปตรงต้นยางสูงโน่น... มันคงตกแถวนั้น
งั้นตามไปเร็ว พี่ชายลากมือน้องชายออกวิ่ง
ยางป่าสูงเด่นต้นนั้นเริ่มทอดเงายื่นห่างออกไปจากโคนต้น  ลมแรงจากที่โล่งพัดผ่านยอดไม้อยู่หวีดหวิว  สองพี่น้องยืนแหงนหน้าหมุนไปหมุนมาอย่างเต็มไปด้วยความสงสัย  บนยอดอันสูงใหญ่ของมันไม่มีวี่แววของว่าวขาดตัวนั้นแต่อย่างใด
เต้งเดินแหงนคอตรงไปข้างหน้า  ก็องแยกขวาสู่ต้นตะโกมหายักษ์  เด็กชายไปหยุดยืนป้องหน้าแหงนดูยอดตะโกอยู่หลายอึดใจเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากน้องชาย  เขาก็วิ่งเข้าสมทบและแหงนขึ้นดูตามมือชี้
ยางป่าอีกต้นยืนสูงชะลูดอยู่ตรงนั้น  ยังไม่เห็นวี่แววของว่าวสีขาวบนยอดอันโปร่งโล่งของมัน  ก็องขมวดคิ้วหันกลับมาจ้องหน้าน้องชายอย่างสงสัย  ยังไม่มีคำถามนอกจากจะเงยขึ้นไปใหม่
ครั้งนี้เขากวาดสายตาสังเกตอย่างละเอียด....  เชือกสีดำเส้นเล็ก ๆ เส้นหนึ่งพาดค้างอยู่บนนั้น  ส่วนปลายของมันกำลังพลิ้วสะบัดอยู่ด้วยแรงลม
มันค้างอยู่บนยอดไม้ข้างหน้านี่แหละ เต้งว่า
ก็องยืนนิ่งนานก่อนให้ความเห็น เชือกที่ติดว่าวมันยาวมากแล้วนี่คือส่วนที่ขาดของมัน  มันค้างอยู่บนยอดไม้ข้างหน้าอย่างที่มึงว่าแน่  แต่มันต้องไกลจนสุดเชือกทีเดียว
งั้นเราตามเชือกไป เต้งบอกก่อนจะเดินแหงนหน้านำไปบนใบไม้แห้ง
เชือกเส้นนั้นพาดจากยอดยางป่าไปสู่ยอดมะสัง  และทอดไปสู่ยอดไม้สูงอีกยอดหนึ่ง.... อีกยอดหนึ่ง... และอีกยอดหนึ่งต่อไปเรื่อย ๆ สองพี่น้องเดินตามไปอย่างไม่ลดละ  จนกระทั่งถึงกอหลาโอนกอใหญ่และสูงลิบกอหนึ่ง  ว่าวสีขาวห้อยค้างอยู่บนนั้น  ลมแรงพัดมันปลิวไปปลิวมา  เหมือนมันกำลังดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ
เต้งหน้ามุ่ยนั่งแหมะลงกับพื้นอย่างหมดหวัง  แต่ก็องยังยืนแหงนหน้าหมุนกายไปช้า ๆ เพื่อหาลู่ทาง

จบเรื่อง....  เต้งว่า  เหงื่อเกาะพราวเต็มใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กชาย ขึ้นไปห้อยอยู่บนยอดหลาโอนอย่างนั้น  เหาะไม่ได้ก็อย่าหวัง
ก็องนิ่งเงียบ  สมองเล็ก ๆ ที่โง่เง่าเหมือนอย่างกะเต่าบวกกับตุ่นของเขากำลังวาดแผนการ
กูว่าขึ้นไปดึงเชือกเอาบนต้นไม้ทังไม่ดีรึ?  เต้งออกความเห็นพร้อมบุ้ยปากไปทางต้นทังสูงใหญ่ซึ่งเชือกส่วนหนึ่งพาดค้างอยู่บนนั้น
ก็องส่ายหน้า ทำยังงั้นถ้าเชือกไม่ขาด  ว่าวก็ต้องขาดเอาดีไม่ได้
แล้วจะเอายังไง?
ก็องชี้มือไปยังกอไผ่ใกล้ ๆ กูจะขึ้นไปบนต้นไผ่
เต้งเบ้หน้า  ขึ้นไปทำไมไกลตั้งโยชน์?  เชือกก็ยังเอื้อมไม่ถึง
ถ้ากูกะไม่ผิด....  พี่ชายแสดงความเห็น  เมื่อขึ้นไปบนยอดไม้ไผ่ก็จะโน้มไปหา
ต้นหลาโอน
แล้วถ้ามันหัก?....
ไม่หัก ก็องค้าน กูเคยมาหลายครั้งแล้ว
แล้วถ้ามันพามึงหลุดเข้าไปกลางกอหลาโอนล่ะหนามหลาโอนไม่ทิ่มมึงเนื้อหนังแหก
ไปรึ?
ก็ต้องเสี่ยง..........
สิ้นคำก็องก็ก้าวเข้าหากอไผ่รกเรื้อ  เงยหน้าขึ้นกำหนดลู่ทางแล้วค่อย ๆ ก้าวเหยียบปุ่มแง่งโหนตัวขึ้นไป  ธรรมชาติของกอไผ่ที่เบียดกันแน่นทำให้เขาต้องใช้ความพยายามในการปีนป่ายอย่างสุดความสามารถ  เด็กชายจับมั่นเข้ากับลำแก่จัดลำหนึ่งแล้วเริ่มไต่สูงขึ้นเมื่อกิ่งแง่งที่ใช้เหยียบ
เริ่มเบาบางลงเขาก็เงยหน้าขึ้นกะระยะอีกครั้งก่อนจะเลือกลำที่มีท่าทีว่าเอนเข้าหากอหลาโอนมากที่สุด   แล้วเปลี่ยนตัวจากลำเก่าเข้าหาลำใหม่  ถัดจากนั้นร่างดำมะเมื่อมผอมเกร็งที่มีมือเท้ายาวเก้งก้างผิดสัดส่วนก็ประกบฝ่าเท้าปลับลำไม้ไผ่สูงขึ้นไปทีละนิด ๆ เมื่อลมเริ่มพัดยอดไผ่เริ่มโอนเอนไปมา  เขาก็แนบร่างแน่นกับลำไม้ไผ่เพื่อพักเหนื่อยและรอจังหวะ  เมื่อลมสงบก็ยืดร่างเขยิบสูงขึ้นไปอีก  เป็นอยู่อย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า  เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด  แต่เด็กชายก็เฝ้ารอจังหวะของเขาอย่างอดทน  จากสายตาของน้องชายที่ยืนแหงนคออยู่ที่โคนต้นทัง  แม้ว่าเขาจะเชื่อมือและเคยเห็นกายกรรมชนิดนี้มาหลายครั้งแล้ว  แต่ยอดไผ่อันเปราะบางที่โงนเงนอ่อนยวบยาบไปมาด้วยแรงลมและน้ำหนักตัว  ก็ทำให้เขาต้องใจแป้วผุดลุกผุดนั่งอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า  เต้งอดคิดไม่ได้ว่า   ร่างดำมะเมื่อมที่ประกบแน่นอยู่บนยอดไผ่  ยามเมื่อลมพัดแรงนั้นช่างไม่ผิดกันอย่างไรกับร่างของค่างขนาดใหญ่ที่มีชีวิตอยู่บนยอดไม้
ข้างล่างจะคิดเห็นอย่างไรนั้น  ข้างบนไม่มีโอกาสได้รับรู้ เพราะขณะนี้ค่างขนาดใหญ่ในสายตาของน้องชายได้พาตัวเองขึ้นมาจนถึงยอดที่มีขนาดใหญ่ในสายตาของน้องชายได้พาตัวเองขึ้นมาจนถึงยอดที่มีขนาดโตกว่าลำแขนไม่มากนักนั้นแล้ว  ก็องไม่สามารถจะปรับขึ้นไปได้อีก  แรงลมผสมกับน้ำหนักตัวทำให้ลำไผ่อันอ่อนยวบส่ายยอดไปมาและเอนต่ำลงอย่างน่าหวาดเสียว 
ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่ามันจะเอนไปถึงยอดหลาโอนตรงตำแหน่งว่าวค้างอย่างที่คาดคะเนไว้แต่อย่างใด
เด็กชายเปลี่ยนแผนใหม่  เมื่อไม่สามารถใช้วิธีปลับได้  เขาก็แนบร่างเคลียวขาเข้ากับยอดไผ่แล้วค่อย ๆ เกร็งข้อดึงร่างขึ้นไปทีละคืบ ๆ สูงขึ้นไป...  สูงขึ้นไป.... และสูงขึ้นไป  บัดดล  เสียงโคนไผ่ก็ลั่นเปรี๊ยะได้ยินเสียงถนัดหู  เจ้าน้องชายซึ่งยืนแหงนคออยู่ข้างล่างกระโดดตัวลอยเรียกชื่อของพี่ชายเสียงหลง  อึดใจถัดมาไม้ไผ่ลำนั้นก็หลุดจากแรงเสียดทานของลำอื่นในกอ  โน้มยวบนำร่างของเด็กชายสวบหายเข้าไปในกอหลาโอนอย่างรวดเร็ว  ก็องปิดตาแน่นอย่างยอมเสี่ยงเต็มที่  หนามหลาโอนแหลมคมทิ่มตำและขีดข่วนเนื้อตัวจนแสบแปลบไปทั้งร่าง  เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง  เขาพบตัวเองห้อยต่องแต่งอยู่ในกอหลาโอนอันหนาทึบ  แม้ขาที่เกี่ยวรัดลำไผ่ไว้จะหลุดห้อยแต่มือแข็งปานคีมเหล็กยังเกาะแน่นไม่ผิดนักกายกรรมเอกหลังจากกุมสติได้  เด็กชายก็สำรวจพบว่ายอดไผ่ที่เขาเกาะห้อยตัวอยู่นั้นต่ำกว่ายอดหลาโอนตรงตำแหน่งที่ว่าวค้างอยู่ไม่มากนัก  เขาลองเกร็งข้อยกตัวขึ้นเบา ๆ ยอดไผ่อันอ่อนยวบก็โน้มต่ำลงไปอีก  ก่อนจะโยนลำตัวขึ้นลงด้วยแรงถ่วงจากน้ำหนักตัวผสมกับแรงลม
ก็องเกร็งข้อดึงร่างขึ้นพร้อมกับป่ายเท้าเปะปะเข้าหาลำไผ่และเคลียวขาไว้ได้อีกครั้ง  ในจังหวะอันหมิ่นเหม่นั้นเด็กชายปล่อยมือข้างหนึ่งจากการเกาะยึด  และเอื้อมเต็มเหยียดไปยังตัว
ว่าวที่อยู่เยื้องสูงขึ้นไป-ไม่ถึง  ลองเหยียดตัวเหยียดแขนอีกครั้งก็ยังไม่ถึงปลายนิ้วซึ่งยื่นออกไปเต็มเหยียดแล้วนั้นยังห่างจากตัวว่าวอยู่เกือบศอก
เด็กชายเปลี่ยนแผนอีกครั้ง  ครั้งนี้เขาปล่อยขาข้างหนึ่งออกจากลำไม้ไผ่  เที่ยวแกว่งขาควานหาอยู่นานกว่าจะพบเข้ากับลำต้นของหลาโอนต้นหนึ่ง    หนามหลาโอนแหลมคมเสียบฝ่าเท้าเปล่าจนสะดุ้ง  หลายเล่มเรียกเลือดให้เกาะพราวตามลำแข้ง  อีกหลายเล่มปักเสียบและหักฝังอยู่ในเซลล์เนื้อ  มันเรียกความเจ็บปวดให้วิ่งสู่จุดรวมของบาดแผลอย่างรวดเร็ว  เด็กชายไม่มีทางเลือกอื่น 
เขาตัดสินใจกัดฟันหลับหูหลับตาถีบเต็มแรงไปที่ต้นหลาโอน  แม้หนามแหลมอีกหลายเล่มจะทิ่มตำและหักติดที่ฝ่าเท้าข้างนั้น  แต่งแรงถีบส่งก็ทำให้ลำไผ่ที่เขาเกาะอยู่กระดกสูงขึ้น  ก่อนจะทิ้งลำยวบต่ำลงมายังตำแหน่งเดิมอีกครั้งอย่างน่าหวาดเสียว  ก็องใช้จังหวะในขณะที่ลำไผ่ส่งตัวสูงขึ้นเพราะแรงถีบนั้นฟาดมือสุดเหยียดเข้าหาตัวว่าวครั้งแรกพลาด  เขากัดฟันถีบหลาโอนอีกครั้งโดยยอมเจ็บปวดจากการทิ่มตำของหนามแหลม-ยังพลาด  อีกครั้ง-พลาด อีกครั้ง-พลาด และอีกครั้ง-ก็ยังพลาด
เด็กชายกัดฟันแน่น  ความเจ็บปวดอันสาหัสทำให้เขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง  เหงื่อเม็ดโป้งผุดพร่างเต็มใบหน้า  ที่ขอบตาเริ่มเปียกชื้นด้วยน้ำตา  เท้าข้างนั้นปวดระบมเพราะหนามแหลมที่หักฝังอยู่เต็มฝ่าเท้า  ทำให้ความอดทนและความพยายามของเขาเริ่มหวั่นไหว  แต่ว่าวสีขาวที่เปรียบเสมือนชีวิต  ทำให้เขาไม่สามารถพ่ายแพ้ได้ไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น  ด้วยสองมือที่กอดไม้ไผ่แนบกับอกและด้วยเท้าอันปวดระบมที่ห้อยต่องแต่งอยู่กลางกอหลาโอน  เด็กชายเงยหน้าซีดขาวซึ่งเกาะพราวด้วยเม็ดเหงื่อไปยังว่าวสีขาวตัวนั้นเหมือนจะขอร้องวิงวอน  มีแต่ประกายตาเท่านั้นที่บอกแววเด็ดเดี่ยวของการยอมอุทิศอย่างเต็มที่  มาถึงขนาดนี้แล้วก็องบอกตัวเองว่าเขายอมตายกลางกอหลาโอนเสียดีกว่า  หากจะกลับลงไปโดยไม่มีว่าวสีขาวตัวนั้นติดมือลงไปด้วย
เด็กชายหลับตาอีกครั้ง  ฝืนใจกัดฟันจนลั่นกรอด  เท้าข้างที่เจ็บปวดจนสุดทนนั้นถีบเต็มแรงเข้าที่ต้นหลาโอนต้นเดิม  ความเจ็บปวดเพิ่มขึ้น  ในขณะที่แรงถีบนั้นส่งตัวเขาให้ลอยสูงขึ้นด้วยสปริงธรรมชาติของลำไม้ไผ่  ก็องเหยียดแขนสุดแขนแล้วฟาดเข้าหาตัวว่าวอย่างเสี่ยงบุญเสี่ยงกรรม  ครั้งนี้ปลายนิ้วฟาดไปถูกแถบใบลานซึ่งเป็นส่วนประกอบของแอกว่าวเข้า  ตัวว่าวจึงหลุดเลื่อนจากที่เดิมห้อยต่ำลงมา  หลังจากที่ลำไผ่ยวบกลับเพราะหมดแรงส่ง  เขาก็เอื้อมหยิบตัวว่าวได้อย่างง่ายดาย  เมื่อเชือกที่ผูกอยู่กับ สายพานชง  ถูกกัดขาด  ว่าวสีขาวตัวนั้นก็เป็นอิสระร่วงผละลงจากยอดหลาโอนเด็กชายผูกเชือกส่วนที่เหลือเข้ากับข้อมือแล้วใช้กำลังส่วนสุดท้ายประคองร่างกลับลงสู่พื้นดิน
ก็องนอนแผ่หราอยู่บนกองใบไม้แห้ง  เต้งกำลังกุลีกุจอถอนหนามหลาโอนจากฝ่าเท้าและ
เนื้อตัวให้พี่ชาย  เสียงสะท้อนถอนหายใจดังเหมือนเสียงสะอื้น  เด็กชายลืมตาขึ้นแล้วยิ้มทั้งน้ำตา  แก้เชือกที่ผูกข้อมือออกอย่างอ่อนระโหย  ค่อย ๆ สาวมันลงมาอย่างระมัดระวัง  เหมือนสาว
สายหัวใจ  เท้าข้างหนึ่งปวดระบมจนสุดที่จะระบาย  ตามเนื้อตัวหูหัวแต้มพราวไปด้วยเลือดหยดเล็ก ๆ หนามหลายเล่มยังหักฝังอยู่ใต้ผิวหนัง  เขาคงจะขึ้นตาลไม่ได้อีกหลายวันน้ำผึ้งแว่นที่สะสมเอาไว้วันละเล็กน้อยคงเต็มปี๊บไม่ทันวันนัดมะรืนนี้  แต่ทว่าพรุ่งนี้ว่าวสีขาวตัวที่เปรียบเสมือนชีวิตของเขาจะต้องขึ้นกลับไปผงาดอยู่บนท้องฟ้าเช่นเดิม
น้ำตาหยดหนึ่งไหลลากเป็นทางจากหางตาถึงติ่งหู  เด็กชายเอื้อมมือไปกำแน่นที่ข้อมือของน้องชาย  สายตาทอดจับแน่นิ่งอยู่ที่ว่าวสีขาวตัวนั้นเนิ่นนาน  แล้วรอยยิ้มแห่งชัยชนะก็แต้มพราวบนริมฝีปากดำเกรียม



ที่มา  ประมวล  มณีโรจน์.  รวมเรื่องสั้นว่าวสีขาวกับผองปีกแห่งความหวัง. สงขลา.   ประภาคาร. 2532

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น