เรื่องสั้น ว่าวสีขาว
“วู้วว......ลมเหอปิดตูขัดหลักชักคักมาทางนี้มั่งเหอ..... วู้วว….”
หลังจากเสียงแหลมเล็กโห่เรียกลมดังขึ้นยังบริเวณลานวัด อันเงียบสงบ
เด็กชายทั้งสองก็อยู่ในลักษณะเตรียมพร้อมรอลมที่จะพัดผ่านมา คนหนึ่งร่างยาวโก้งเก้งผิวดำเป็นคราบ
กำลังยืนนิ่งหยีตาจ้องทวนแสงอาทิตย์ไปทางทิศตะวันตก มือขวาคอยจังหวะที่จะกระตุกเชือกที่ผูกโยงอยู่กับตัวว่าว
มือซ้ายจับอยู่ที่ขอบกางเกงซึ่งหลวมโพรกเพรก อีกคนร่างผอมเล็กจนนับซี่โครงได้ถูก
แต่ส่วนท้องกลับป่องกลมเหมือนตัวตลกของหนังตะลุง เขายืนห่างออกไปอีกด้าน แขนเล็กลีบทั้งสองกำลังประคองตัวว่าวคอยจังหวะที่จะพุ่งมันขึ้นสู่ท้องฟ้า
เขาทั้งสองต่างก็หวังว่าหลังจากที่คนหนึ่งพุ่งตัวว่าวขึ้นไปแล้วและอีกคนออกวิ่งพร้อมกับกระตุกเชือกอย่างได้จังหวะ
ว่าวควายตัวใหม่ของพวกเขาก็จะโผขึ้นสู่เบื้องบน และผงาดอยู่บนท้องฟ้าโดยไม่โฉบหัวลงมาปักดินอีก เมื่อมันมีโอกาสปะทะเข้ากับความแรงของลมบน
มือยาวเก้งก้างของก็องกระตุกเชือกนิดหนึ่ง แล้วยิงฟันสีเหลืองอย่างเคยชิน
“มึงลองโห่อีกครั้งซิไอ้เต้ง” เขาตะโกนสั่ง
เต้งปล่อยว่าวลงกับพื้น ม้วนขอบผ้าถุงให้กระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม เขาอดไม่ได้ที่จะเกากกหูซึ่งหนาเตอะไปด้วยขี้ไคลตังอย่างขัดใจ ก่อนจะป้องปากส่งเสียงแหลมเรียกลม
“วู้วว..... ลมเหอ
ปิดตูขัดหลัก
ชักคักมาทางนี้มั่งเหอ...
โห.... วู้วว...”
แล้วเด็กชายก็หยิบว่าวขึ้นมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง
ใบมะม่วงหิมพานต์ริมกำแพงวัดยังไม่กระดิกไหว ลมยังเงียบสงบ.....
ก็องกับเต้งเป็นพี่น้องคลานตามกันออกมา ก็องผู้พี่แก่กว่าเต้งถึง 3 ปี
แต่ทั้งสองเรียนอยู่ชั้น ป.4
เหมือนกัน
ไม่ใช่สิ่งที่น่าวิตกทุกข์ร้อนแต่ประการใด
เพราะการเรียนซ้ำชั้นของก็องเป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้ว ทั้งในความรู้สึกของตนเอง ของเพื่อน ๆ และของครูทุกคน
ความสามารถอย่างอื่นที่ไม่มีสอนในโรงเรียนต่างหาก ที่ก็องคิดว่าเพื่อน ๆ ต่างก็ยอมให้เขา ตั้งแต่การยิงยางที่แม่นยำ การทำลูกข่างที่ประณีตสวยงาม
ไปจนถึงการปีนป่ายต้นไม้ที่เหนียวหนึบและรวดเร็วอย่างหาตัวจับยาก ไม่ว่าจะปีนต้นตาลที่เขาขึ้นคาบน้ำตาลอยู่ทุกเย็นโดยไม่ต้องใช้พะอง หรือปีนต้นมะพร้าว ต้นหมากที่หลวงตาใช้ให้ขึ้นไปเก็บลูกของมัน แม้กระทั่งยอดไผ่ขนาดข้อมือเขาก็เคยพิสูจน์ให้ประจักษ์มาแล้วเมื่อไม่นานมานี้
โดยการเสี่ยงต่อการหักลำไผ่อ่อนยวบขึ้นไปเอารังนกกระจาบที่ห้อยอยู่บนปลายสุดของมันลงมาจนได้
เด็กทั้งสองอาศัยอยู่กับยายที่กระท่อมเก่าโทรมใกล้กำแพงวัดพ่อแม่จากไปตั้งแต่เต้งยังเรียนอยู่ชั้น ป.1 แม่ตายเพราะเป็นฝีในตับ พ่อมีเมียใหม่และจากไปเหมือนตายจาก จะไปอยู่ที่ไหน อย่างไรก็องไม่เคยสนใจ และคิดว่ามันไม่สำคัญไปกว่าการขึ้นตาลเพื่อเอาน้ำหวานของมันมาเคี่ยวเป็นน้ำผึ้งเหลวและทำน้ำผึ้งแว่นให้ยายเอาไปขายที่ตลาดนัดในตัวอำเภอแต่อย่างใด สำหรับเต้งนั้นเมื่อพ่อจากไปใหม่ ๆ
เขาก็คิดถึงและเรียกหาอยู่บ้าง
แต่เมื่อนาน ๆ เข้ามันก็ค่อยเปลี่ยนเป็นความเคยชิน เต้งคิดว่าเขายังมียายที่ขยันขันแข็ง
และยังนำน้ำผึ้งแว่นกับน้ำผึ้งเหลวขึ้นรถสองแถวไปขายที่ตลาดนัดในอำเภอได้อย่างคล่องแคล่ว จนแม่ค้าน้ำผึ้งสาว ๆ ในหมู่บ้านพากันขยาดไปตาม
ๆ กัน
ชั่วเวลาเพียง 1 – 3 ปี
ชื่อของพ่อดูเหมือนไม่เคยผ่านริมฝีปากของเด็กชายทั้งสองอีกเลย....
ใบมะม่วงหิมพานต์ริมกำแพงวัดไหวกราว
ใบแก่สองสามใบร่วงผล็อยจากกิ่งก้านลงไปแถกอยู่กับพื้นดินปนทราย ก็องแหย่นิ้วชี้เข้าปากแล้วชูขึ้นตรวจทิศทางลม
หลังนิ้วที่เย็นวาบบอกเขาว่าลมกำลังเริ่มพัดในทิศทางที่เขากำลังรออยู่
“ ไอ้เต้งเร็วเว้ยลมพัดแล้ว!”
เด็กชายตะโกนบอกพร้อมกระตุกเชือกเร่ง
เต้งรีบนุ่งผ้าอย่างลนลาน เขาม้วนชายผ้าตรงท้องน้อยเป็นก้อนอย่างลวก ๆ
แล้วรีบหยิบตัวว่าวขึ้นมา
“ เอาเลย !” ก็องตะโกนสั่ง
เต้งพุ่งตัวว่าวขึ้นไปจนสุดแรงเกิดในทันทีนั้น
ก็องกระตุกเชือกหาจังหวะสองสามครั้งก่อนจะออกวิ่งลากให้ว่าวไต่ลมสูงขึ้นเจ้าว่าวควายตัวโปรดที่ทั้งสองใช้เวลาเกือบสองอาทิตย์ทำมันขึ้นมาโผขึ้นสู่เบื้องบนอย่างองอาจ มันเล่นลมแต็ก ๆ แถกซ้ายแถกขวาสองสามทีแล้วไต่ระดับสูงขึ้นไปอีก
ก็องปล่อยเชือกให้มันอย่างระมัดระวังสลับกับการกระตุกและออกวิ่งอย่างไม่ยอมไว้วางใจ เมื่อมันปะทะเข้ากับลมบนซึ่งพัดแรงอยู่เสมอ
มันก็สามารถร่อนตัวเล่นลมอยู่บนฟ้าได้อย่างเร็วภาคภูมิ
บัดนั้น ว่าวสีขาวตัวนั้นก็ขึ้นไปลอยฟ่องอยู่กับเกล็ดเมฆสีเงินเห็นลิบ
ๆ โน้นแล้ว แอกใบลานของมันคราง “เว้ยยย.....เว้ยยย...” ผ่านฟ้าลงมาให้ได้ชื่นใจ
พวกเขาเคยคิดเสมอว่าแอกว่าวเดือนห้าช่างพลิ้วสั่นและฟังไพเราะกว่าปี่ซังข้าวเป็นไหน
ๆ
ก็องหยุดยืนยิงฟันและปล่อยเชือกจากขดออกไปช้า
ๆ ส่วนเต้งนั้นกระโดดตัวลอยออกเสียงตะโกนกลั้วเสียงหัวเราะดังลั่นไปหมด เขาดีใจมากกว่าเจ้าของจริง ๆ
ของมันเป็นร้อยเป็นพันเท่า เมื่อหมดเชือกในขด
ว่าวก็ร่อนอยู่บนท้องฟ้าสูงลิบจนเกือบดูไม่เห็น เสียงลมผ่านแถบใบลานดึงแอกครางหวีดหวิวท้าทาย บางครั้งดัง
บางครั้งเลือน และบางครั้งเงียบหายไป ก็องผูกปลายเชือกกับกิ่งมะม่วงหิมพานต์
แล้วออกไปยืนเคียงข้างน้องชายหยีตาแหงนดูว่าวที่ลอยฟ่องอยู่บนฟ้า ปากดำเกรียมของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อย
ฟันสีเหลืองอวดแถวอันไร้ระเบียบของมันอยู่ท่ามกลางแดดบ่ายอันเจิดจ้า เสียงถอนหายใจอย่างเป็นสุขของเต้งพลิ้วสั่นจนสัมผัสได้
แล้วพี่น้องทั้งสองก็เดินกอดคอกันเข้าสู่ร่มเงาของมะม่วงหิมพานต์ริมกำแพงวัด......
เลยเที่ยงไปนานโขแล้ว
เต้งเพิ่งนึกได้ว่าเขามัวยุ่งอยู่กับว่าวจนลืมให้วัวกินน้ำ เด็กชายร้องบอกพี่ชายสองสามคำแล้ววิ่งติ้วข้ามถนนหายไปกับทุ่งข้าวฟากตรงข้าม ก็องยังยืนอยู่
อีกอึดใจก็เต้นเก็งก็องข้ามถนนลาดยางที่ร้อนเหมือนเหล็กเผาไฟตามน้องชายไปด้วย เขาเลี่ยงเข้าหาร่มเงาของมะขามใหญ่ริมถนน ยกท่อนแขนขึ้นเช็ดเหงื่อบนใบหน้า แล้วเอนกายลงนอนหนุนรากมะขาม สีเขียวของใบข้าวที่กำลังตั้งท้องอ่อน ๆ
อัดเต็มอยู่ในบิ้งนาไกลออกไป
น้าเติมบอกเขาว่ายังได้ยินเสียงซังข้าวปะทุป็อกแป็ก
เพราะโดนแดดเผายังไม่ถึงฤดูเล่นว่าวเพราะลมยังไม่แรงพอ แต่เด็กชายไม่เชื่อ
เขาอยากจะเริ่มต้นก่อนใครในหมู่บ้านสำหรับการเล่นว่าวปีนี้
และเริ่มเหลาไม้ทำโครงว่าวในขณะที่ข้าวยังไม่แตกรวง
“เมื่อมีลม ไม่ว่าฤดูไหน ๆ ว่าวก็ขึ้นไปบนฟ้าได้ทั้งนั้น” เด็กชายยืนยันถึงความมั่นใจ
“ยังไม่ถึงเดือนห้า ลมยังไม่แรง
น้ำก็ยังไม่แห้งทุ่ง
ว่าวเทวดาก็ไม่ขึ้นหรอกวะ”
ลุงเขียดซึ่งผ่านมาเห็นเขานั่งดัดโครงว่าวอยู่ใต้ต้นนุ่น ร้องบอกพร้อมเสียงหัวเราะหึ ๆ อย่างอารมณ์ดี
เด็กชายไม่สนใจ คงก้มหน้าก้มตาทำงานของเขาต่อไปอย่างตั้งใจ
“มึงจะปีนขึ้นไปได้ยังไง? ไม้ไผ่ลำเท่าแขน ตัวมึงก็หนัก
ลมบนก็แรง ขึ้นไปสูง ๆ
เดี๋ยวก็ตกลงมาคอหักหรอก”
เขายังจำได้ ตาเพิ่มเคยออกปากห้าม
ขณะที่เขาเตรียมปีนลำไม้ไผ่เพื่อจะเอารังนกกระจาบที่ห้อยโตงเตงอยู่บนยอด เด็กชายไม่ว่าอะไร แต่เมื่อตาเพิ่มคล้อยหลัง เขาก็สามารถเลี้ยงตัวขึ้นไปเอาสิ่งที่เขาต้องการลงมาได้ ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายของเจ้าเต้งซึ่งเต้นเหยงแหงนหน้าดูพี่ชายอยู่อย่างเป็นห่วง
แอกว่าวครางเว้ย ๆ
เหมือนแว่วอยู่ในเสียงหวีดหวิวของยอดมะขามต้องลม
เชือกว่าวที่โยงระหว่างตัวว่าวกับกิ่งมะม่วงพิมพานต์ริมกำแพงวัดตกท้องช้างเล็กน้อย
ก็องนอนหนุนรากมะขามจับตาอยู่ที่ว่าวสีขาวซึ่งเห็นเป็นจุดเล็ก ๆ
ลอยฟ่องอยู่บนฟ้ากว้าง เต้งซึ่งเพิ่งกลับจากให้วัวกินน้ำนั่ง
แหงนดูอยู่ด้วย ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาเกาะพราวไปด้วยเม็ดเหงื่อใต้จมูกเปียกชื้นเจือรสเค็ม
ริมฝีปากเกรียมดำนั้นแห้งผากด้วยกระไอแดด
แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยประกายอันวาววามดูลึกล้ำและอิ่มเอิบอยู่ด้วยความสุขสมอันกว้างใหญ่ไพศาล
“พรุ่งนี้ครูว่าให้มึงไปโรงเรียน” จู่ ๆ
เสียงแหบแห้งของเต้งก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ
ก็องเปลี่ยนสายตาจากเงาว่าวมาจับที่วงหน้าเหลืองอมดำของน้องชาย เหยียดยิ้มนิดหนึ่ง
“พรุ่งนี้กูจะเอาว่าวไปวางกลางทุ่งนาแล้วจะนอนดูมันทั้งวัน”
“แต่ครูบอกว่าถ้ามึงขาดเรียนอีก แกจะตามมาหวดมึงถึงบ้าน”
ก็องถอนใจใหญ่ เสียงที่ผ่านลำคอออกมาเบาจนเกือบไม่ได้ยิน
“กูอยากออกโรงเรียน”
“จบ ป.4 แล้วมึงก็ออกได้นี่ กูรึใคร ๆ ก็ได้ออกกันทั้งนั้น”
“แต่กูไม่อยากไปอีกแล้ว กูคิดเลขไม่เป็น”
“ก็ครูเขาจะสอนให้”
“หวดกูนะไม่ว่า”
เต้งเงียบ
“พรุ่งนี้วันจันทร์......” ก็องว่าต่อ “เพื่อน ๆ ในห้องจะต้องตื่นเต้นกับความสำเร็จของกูบ้านเราปีนี้กูเป็นคนทำว่าวตัวแรกและมันขึ้นไปลอยอยู่บนฟ้าได้ทั้ง
ๆ ที่น้ำยังคึงนา”
เต้งยิ้มอย่างพลอยเป็นสุขกับพี่ชายไปด้วย
“สองสามวันมึงทำให้กูซักตัวด้วยนะ”
“ฮื่ม... มึงตัดไม้ไผ่มาสิ”
“กอไหน?”
“กอข้างโรงเรียนน่ะแหละตัดง่ายดี เลือกลำแก่ ๆ หน่อยแล้วกัน”
ทั้งสองนิ่งเงียบ สายตาและหัวใจต่างก็ลอยล่องไปกับว่าวสีขาวบนท้องฟ้าเนิ่นนาน
แล้วเต้งก็ลุกขึ้นยืน “กูไปเลื่อนเชือกมันมาผูกตรงนี้ดีกว่านะ”
“ทำไมล่ะ?”
“เอามาผูกใกล้ ๆ
มือจะได้นอนดูมันพลางคอยกระตุกเชือกหยอกมันพลาง”
“ระวังหน่อยแล้วกันเดี๋ยวมันจะโฉบยอดไม้ ว่าวมันหนักหัวแอกใหญ่เกินไป”
เต้งวิ่งข้ามถนนเข้าไปในบริเวณวัด มือแก้เชือกจากกิ่งมะม่วงหิมพานต์ ตาจับอยู่ที่ตัวว่าวตลอดเวลา เขากลัวว่าการดึงเชือกอย่างไม่ประสีประสาจะทำให้ว่าวปะทะลมหนักขึ้น
และมันอาจจะเสียหลักโฉบหัวเข้าหายอดไม้อย่างที่พี่ชายว่า
บนถนน
ขณะนั้นเสียงรถคันหนึ่งครางกระหึ่มขึ้น
ก็องชะเง้อเห็นรถคันใหญ่กำลังทิ้งโค้งบึ่งมาอย่างรวดเร็ว
ฟากถนนตรงกันข้ามเจ้าน้องชายของเขาก็กำลังถอยยิก ๆ
พ้นประตูวัดออกมาและแน่นอนว่าทั้งตาและหัวใจของเจ้าเต้งได้ล่องลอยขึ้นไปอยู่กับว่าวบนฟ้าเสียแล้ว ทัน ๆ กับความคิดเด็กชายสปริงตัวขึ้นยืนและวิ่งอย่างรวดเร็วออกจากร่มเงาของมะขามใหญ่ พลางตะโกนเสียงหลงห้ามไม่ให้น้องชายข้ามถนน
สายไปเสียแล้ว.... ในขณะนั้นเต้งไม่ได้ยินอะไรอีกเลย
ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเบรกอันโหยหวนและเสียงแผดแหลมของแตรรถใหญ่ เสียงตะโกนอันไม่เป็นภาษาของพี่ชายจึงไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงในท่ามกลางความอื้ออึงอลหม่านนั้น
หลังจากเสียงเบรกกรีดก้อง
กลิ่นยางไหม้ก็ฉุนกึกขึ้นในกระไอแดดอันร้องเปรี้ยง
เต้งสะดุ้งสุดตัวเหมือนเพิ่งตื่นจากหลับฝันอันเป็นสุข เสียงเบรก
เสียงแตร
และเสียงตะโกนของพี่ชายต่างกรอกขรมเข้าในหูของเขาจนอื้ออึงไปหมด กว่าจะทันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
เด็กชายก็กำเชือกแน่นหลับหูหลับตากระโดดข้ามทางไปเสียแล้ว
จังหวะที่รถคันใหญ่เสียหลักส่ายไปมาเหมือนงูเลื้อยอยู่นั้น เชือกว่าวก็พาดเข้ากับกระจกหน้ารถและขาดผึงลงในทันใด พริบตาต่อมาก็องก็พุ่งเข้าผลักน้องชายให้ล้มกลิ้งไปบนไหล่ทาง แล้วตนเองก็วิ่งตามขึ้นไปบนถนนอย่างโกรธจัด
เมื่อฝุ่นถนนที่ปลิวฟุ้งเหมือนฝุ่นที่เกิดจากแรงหมุนของลมหัวด้วนนั้นเริ่มเบาบางลง ท้ายรถคันใหญ่ก็ลับหายไปแล้วกับแนวโค้งข้างหน้า
ก็องฮึดฮัดยกไม้ยกมือก่นโคตรคนขับตามไปอีกหลายคำ
ก่อนจะหมุนตัวร่อนคว้างอยู่บนถนนเพราะเสียงตะโกนลั่นของน้องชาย
“ไอ้ก็อง.... ว่าวขาดลอยไปโน่นแล้วมึง!”
แล้วเจ้าคนตะโกนก็วิ่งข้ามถนนตามไปอย่างรวดเร็วเหมือนติดเครื่องยนต์
ก็องแหงนหน้าขึ้นฟ้า
ว่าวควายสีขาวกำลังร่อนเหมือนนกปีกหักไปยังแนวป่าตะวันตก เด็กชายอุทานอะไรออกมาคำหนึ่งแล้วควบข้ามถนนตามน้องชายไปติด
ๆ ขณะที่เขาวิ่งตัดบริเวณวัดออกสู่ริมทุ่งนั้น
ร่างเล็ก ๆ ของเจ้าเต้งก็กำลังผลุบ ๆ โผล่ ๆ
อยู่ท่ามกลางสีเขียวของใบข้าว ว่าวสีขาวลดระดับต่ำลงมาแล้ว
แต่ยังพลิกตัวเคว้งคว้างอยู่เหนือแนวป่าชายทุ่งโน้น เด็กชายสูดลมหายใจลึกแล้วขายาวเก้งก้างก็ควงกวดเป็นจักรผัน
แหงนหน้าดูว่าวบนฟ้าสลับกับก้มดูทางบนคันนา
จนกระทั่งไปทันน้องชายซึ่งยืนหอบซี่โครงบานอยู่ใต้ต้นตาลแนวชายป่า
ก็องหยุดหอบจนตัวโยก ยืดคอกลืนน้ำลายเหนียวหนืดอย่างยากเย็น ก่อนจะสำลักคำถาม
“มัน..... มัน... ไป....
ไปไหนแล้ว?”
เต้งชี้มือโบ้เบ้ ปากก็พะงาบ ๆ
อยู่นานสองนานกว่าจะหลุดคำพูดออกมาได้
“หายไปตรงต้นยางสูงโน่น...
มันคงตกแถวนั้น”
“งั้นตามไปเร็ว” พี่ชายลากมือน้องชายออกวิ่ง
ยางป่าสูงเด่นต้นนั้นเริ่มทอดเงายื่นห่างออกไปจากโคนต้น ลมแรงจากที่โล่งพัดผ่านยอดไม้อยู่หวีดหวิว
สองพี่น้องยืนแหงนหน้าหมุนไปหมุนมาอย่างเต็มไปด้วยความสงสัย
บนยอดอันสูงใหญ่ของมันไม่มีวี่แววของว่าวขาดตัวนั้นแต่อย่างใด
เต้งเดินแหงนคอตรงไปข้างหน้า ก็องแยกขวาสู่ต้นตะโกมหายักษ์
เด็กชายไปหยุดยืนป้องหน้าแหงนดูยอดตะโกอยู่หลายอึดใจเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากน้องชาย เขาก็วิ่งเข้าสมทบและแหงนขึ้นดูตามมือชี้
ยางป่าอีกต้นยืนสูงชะลูดอยู่ตรงนั้น
ยังไม่เห็นวี่แววของว่าวสีขาวบนยอดอันโปร่งโล่งของมัน
ก็องขมวดคิ้วหันกลับมาจ้องหน้าน้องชายอย่างสงสัย ยังไม่มีคำถามนอกจากจะเงยขึ้นไปใหม่
ครั้งนี้เขากวาดสายตาสังเกตอย่างละเอียด.... เชือกสีดำเส้นเล็ก ๆ
เส้นหนึ่งพาดค้างอยู่บนนั้น
ส่วนปลายของมันกำลังพลิ้วสะบัดอยู่ด้วยแรงลม
“มันค้างอยู่บนยอดไม้ข้างหน้านี่แหละ” เต้งว่า
ก็องยืนนิ่งนานก่อนให้ความเห็น “ เชือกที่ติดว่าวมันยาวมากแล้วนี่คือส่วนที่ขาดของมัน มันค้างอยู่บนยอดไม้ข้างหน้าอย่างที่มึงว่าแน่ แต่มันต้องไกลจนสุดเชือกทีเดียว”
“งั้นเราตามเชือกไป” เต้งบอกก่อนจะเดินแหงนหน้านำไปบนใบไม้แห้ง
เชือกเส้นนั้นพาดจากยอดยางป่าไปสู่ยอดมะสัง และทอดไปสู่ยอดไม้สูงอีกยอดหนึ่ง....
อีกยอดหนึ่ง... และอีกยอดหนึ่งต่อไปเรื่อย ๆ สองพี่น้องเดินตามไปอย่างไม่ลดละ
จนกระทั่งถึงกอหลาโอนกอใหญ่และสูงลิบกอหนึ่ง ว่าวสีขาวห้อยค้างอยู่บนนั้น ลมแรงพัดมันปลิวไปปลิวมา เหมือนมันกำลังดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ
เต้งหน้ามุ่ยนั่งแหมะลงกับพื้นอย่างหมดหวัง แต่ก็องยังยืนแหงนหน้าหมุนกายไปช้า ๆ
เพื่อหาลู่ทาง
“จบเรื่อง....” เต้งว่า เหงื่อเกาะพราวเต็มใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กชาย “ขึ้นไปห้อยอยู่บนยอดหลาโอนอย่างนั้น
เหาะไม่ได้ก็อย่าหวัง”
ก็องนิ่งเงียบ สมองเล็ก ๆ
ที่โง่เง่าเหมือนอย่างกะเต่าบวกกับตุ่นของเขากำลังวาดแผนการ
“กูว่าขึ้นไปดึงเชือกเอาบนต้นไม้ทังไม่ดีรึ?” เต้งออกความเห็นพร้อมบุ้ยปากไปทางต้นทังสูงใหญ่ซึ่งเชือกส่วนหนึ่งพาดค้างอยู่บนนั้น
ก็องส่ายหน้า “ ทำยังงั้นถ้าเชือกไม่ขาด ว่าวก็ต้องขาดเอาดีไม่ได้”
“ แล้วจะเอายังไง? ”
ก็องชี้มือไปยังกอไผ่ใกล้ ๆ “กูจะขึ้นไปบนต้นไผ่”
เต้งเบ้หน้า “ ขึ้นไปทำไมไกลตั้งโยชน์? เชือกก็ยังเอื้อมไม่ถึง”
“ถ้ากูกะไม่ผิด....” พี่ชายแสดงความเห็น “เมื่อขึ้นไปบนยอดไม้ไผ่ก็จะโน้มไปหา
ต้นหลาโอน”
“แล้วถ้ามันหัก?....”
“ไม่หัก”
ก็องค้าน “กูเคยมาหลายครั้งแล้ว”
“แล้วถ้ามันพามึงหลุดเข้าไปกลางกอหลาโอนล่ะหนามหลาโอนไม่ทิ่มมึงเนื้อหนังแหก
ไปรึ?”
“ก็ต้องเสี่ยง..........”
สิ้นคำก็องก็ก้าวเข้าหากอไผ่รกเรื้อ เงยหน้าขึ้นกำหนดลู่ทางแล้วค่อย ๆ
ก้าวเหยียบปุ่มแง่งโหนตัวขึ้นไป
ธรรมชาติของกอไผ่ที่เบียดกันแน่นทำให้เขาต้องใช้ความพยายามในการปีนป่ายอย่างสุดความสามารถ
เด็กชายจับมั่นเข้ากับลำแก่จัดลำหนึ่งแล้วเริ่มไต่สูงขึ้นเมื่อกิ่งแง่งที่ใช้เหยียบ
เริ่มเบาบางลงเขาก็เงยหน้าขึ้นกะระยะอีกครั้งก่อนจะเลือกลำที่มีท่าทีว่าเอนเข้าหากอหลาโอนมากที่สุด แล้วเปลี่ยนตัวจากลำเก่าเข้าหาลำใหม่ ถัดจากนั้นร่างดำมะเมื่อมผอมเกร็งที่มีมือเท้ายาวเก้งก้างผิดสัดส่วนก็ประกบฝ่าเท้าปลับลำไม้ไผ่สูงขึ้นไปทีละนิด
ๆ เมื่อลมเริ่มพัดยอดไผ่เริ่มโอนเอนไปมา
เขาก็แนบร่างแน่นกับลำไม้ไผ่เพื่อพักเหนื่อยและรอจังหวะ เมื่อลมสงบก็ยืดร่างเขยิบสูงขึ้นไปอีก เป็นอยู่อย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด แต่เด็กชายก็เฝ้ารอจังหวะของเขาอย่างอดทน จากสายตาของน้องชายที่ยืนแหงนคออยู่ที่โคนต้นทัง
แม้ว่าเขาจะเชื่อมือและเคยเห็นกายกรรมชนิดนี้มาหลายครั้งแล้ว
แต่ยอดไผ่อันเปราะบางที่โงนเงนอ่อนยวบยาบไปมาด้วยแรงลมและน้ำหนักตัว ก็ทำให้เขาต้องใจแป้วผุดลุกผุดนั่งอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า เต้งอดคิดไม่ได้ว่า ร่างดำมะเมื่อมที่ประกบแน่นอยู่บนยอดไผ่
ยามเมื่อลมพัดแรงนั้นช่างไม่ผิดกันอย่างไรกับร่างของค่างขนาดใหญ่ที่มีชีวิตอยู่บนยอดไม้
ข้างล่างจะคิดเห็นอย่างไรนั้น ข้างบนไม่มีโอกาสได้รับรู้
เพราะขณะนี้ค่างขนาดใหญ่ในสายตาของน้องชายได้พาตัวเองขึ้นมาจนถึงยอดที่มีขนาดใหญ่ในสายตาของน้องชายได้พาตัวเองขึ้นมาจนถึงยอดที่มีขนาดโตกว่าลำแขนไม่มากนักนั้นแล้ว ก็องไม่สามารถจะปรับขึ้นไปได้อีก
แรงลมผสมกับน้ำหนักตัวทำให้ลำไผ่อันอ่อนยวบส่ายยอดไปมาและเอนต่ำลงอย่างน่าหวาดเสียว
ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่ามันจะเอนไปถึงยอดหลาโอนตรงตำแหน่งว่าวค้างอย่างที่คาดคะเนไว้แต่อย่างใด
เด็กชายเปลี่ยนแผนใหม่ เมื่อไม่สามารถใช้วิธีปลับได้ เขาก็แนบร่างเคลียวขาเข้ากับยอดไผ่แล้วค่อย ๆ
เกร็งข้อดึงร่างขึ้นไปทีละคืบ ๆ สูงขึ้นไป...
สูงขึ้นไป.... และสูงขึ้นไป
บัดดล
เสียงโคนไผ่ก็ลั่นเปรี๊ยะได้ยินเสียงถนัดหู
เจ้าน้องชายซึ่งยืนแหงนคออยู่ข้างล่างกระโดดตัวลอยเรียกชื่อของพี่ชายเสียงหลง
อึดใจถัดมาไม้ไผ่ลำนั้นก็หลุดจากแรงเสียดทานของลำอื่นในกอ โน้มยวบนำร่างของเด็กชายสวบหายเข้าไปในกอหลาโอนอย่างรวดเร็ว ก็องปิดตาแน่นอย่างยอมเสี่ยงเต็มที่ หนามหลาโอนแหลมคมทิ่มตำและขีดข่วนเนื้อตัวจนแสบแปลบไปทั้งร่าง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เขาพบตัวเองห้อยต่องแต่งอยู่ในกอหลาโอนอันหนาทึบ แม้ขาที่เกี่ยวรัดลำไผ่ไว้จะหลุดห้อยแต่มือแข็งปานคีมเหล็กยังเกาะแน่นไม่ผิดนักกายกรรมเอกหลังจากกุมสติได้ เด็กชายก็สำรวจพบว่ายอดไผ่ที่เขาเกาะห้อยตัวอยู่นั้นต่ำกว่ายอดหลาโอนตรงตำแหน่งที่ว่าวค้างอยู่ไม่มากนัก เขาลองเกร็งข้อยกตัวขึ้นเบา ๆ
ยอดไผ่อันอ่อนยวบก็โน้มต่ำลงไปอีก
ก่อนจะโยนลำตัวขึ้นลงด้วยแรงถ่วงจากน้ำหนักตัวผสมกับแรงลม
ก็องเกร็งข้อดึงร่างขึ้นพร้อมกับป่ายเท้าเปะปะเข้าหาลำไผ่และเคลียวขาไว้ได้อีกครั้ง
ในจังหวะอันหมิ่นเหม่นั้นเด็กชายปล่อยมือข้างหนึ่งจากการเกาะยึด และเอื้อมเต็มเหยียดไปยังตัว
ว่าวที่อยู่เยื้องสูงขึ้นไป-ไม่ถึง
ลองเหยียดตัวเหยียดแขนอีกครั้งก็ยังไม่ถึงปลายนิ้วซึ่งยื่นออกไปเต็มเหยียดแล้วนั้นยังห่างจากตัวว่าวอยู่เกือบศอก
เด็กชายเปลี่ยนแผนอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาปล่อยขาข้างหนึ่งออกจากลำไม้ไผ่
เที่ยวแกว่งขาควานหาอยู่นานกว่าจะพบเข้ากับลำต้นของหลาโอนต้นหนึ่ง หนามหลาโอนแหลมคมเสียบฝ่าเท้าเปล่าจนสะดุ้ง หลายเล่มเรียกเลือดให้เกาะพราวตามลำแข้ง
อีกหลายเล่มปักเสียบและหักฝังอยู่ในเซลล์เนื้อ มันเรียกความเจ็บปวดให้วิ่งสู่จุดรวมของบาดแผลอย่างรวดเร็ว เด็กชายไม่มีทางเลือกอื่น
เขาตัดสินใจกัดฟันหลับหูหลับตาถีบเต็มแรงไปที่ต้นหลาโอน
แม้หนามแหลมอีกหลายเล่มจะทิ่มตำและหักติดที่ฝ่าเท้าข้างนั้น
แต่งแรงถีบส่งก็ทำให้ลำไผ่ที่เขาเกาะอยู่กระดกสูงขึ้น ก่อนจะทิ้งลำยวบต่ำลงมายังตำแหน่งเดิมอีกครั้งอย่างน่าหวาดเสียว
ก็องใช้จังหวะในขณะที่ลำไผ่ส่งตัวสูงขึ้นเพราะแรงถีบนั้นฟาดมือสุดเหยียดเข้าหาตัวว่าวครั้งแรกพลาด
เขากัดฟันถีบหลาโอนอีกครั้งโดยยอมเจ็บปวดจากการทิ่มตำของหนามแหลม-ยังพลาด อีกครั้ง-พลาด อีกครั้ง-พลาด และอีกครั้ง-ก็ยังพลาด
เด็กชายกัดฟันแน่น
ความเจ็บปวดอันสาหัสทำให้เขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เหงื่อเม็ดโป้งผุดพร่างเต็มใบหน้า ที่ขอบตาเริ่มเปียกชื้นด้วยน้ำตา
เท้าข้างนั้นปวดระบมเพราะหนามแหลมที่หักฝังอยู่เต็มฝ่าเท้า ทำให้ความอดทนและความพยายามของเขาเริ่มหวั่นไหว แต่ว่าวสีขาวที่เปรียบเสมือนชีวิต
ทำให้เขาไม่สามารถพ่ายแพ้ได้ไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น
ด้วยสองมือที่กอดไม้ไผ่แนบกับอกและด้วยเท้าอันปวดระบมที่ห้อยต่องแต่งอยู่กลางกอหลาโอน
เด็กชายเงยหน้าซีดขาวซึ่งเกาะพราวด้วยเม็ดเหงื่อไปยังว่าวสีขาวตัวนั้นเหมือนจะขอร้องวิงวอน
มีแต่ประกายตาเท่านั้นที่บอกแววเด็ดเดี่ยวของการยอมอุทิศอย่างเต็มที่
มาถึงขนาดนี้แล้วก็องบอกตัวเองว่าเขายอมตายกลางกอหลาโอนเสียดีกว่า หากจะกลับลงไปโดยไม่มีว่าวสีขาวตัวนั้นติดมือลงไปด้วย
เด็กชายหลับตาอีกครั้ง ฝืนใจกัดฟันจนลั่นกรอด เท้าข้างที่เจ็บปวดจนสุดทนนั้นถีบเต็มแรงเข้าที่ต้นหลาโอนต้นเดิม ความเจ็บปวดเพิ่มขึ้น
ในขณะที่แรงถีบนั้นส่งตัวเขาให้ลอยสูงขึ้นด้วยสปริงธรรมชาติของลำไม้ไผ่ ก็องเหยียดแขนสุดแขนแล้วฟาดเข้าหาตัวว่าวอย่างเสี่ยงบุญเสี่ยงกรรม
ครั้งนี้ปลายนิ้วฟาดไปถูกแถบใบลานซึ่งเป็นส่วนประกอบของแอกว่าวเข้า
ตัวว่าวจึงหลุดเลื่อนจากที่เดิมห้อยต่ำลงมา หลังจากที่ลำไผ่ยวบกลับเพราะหมดแรงส่ง เขาก็เอื้อมหยิบตัวว่าวได้อย่างง่ายดาย เมื่อเชือกที่ผูกอยู่กับ “สายพานชง” ถูกกัดขาด
ว่าวสีขาวตัวนั้นก็เป็นอิสระร่วงผละลงจากยอดหลาโอนเด็กชายผูกเชือกส่วนที่เหลือเข้ากับข้อมือแล้วใช้กำลังส่วนสุดท้ายประคองร่างกลับลงสู่พื้นดิน
ก็องนอนแผ่หราอยู่บนกองใบไม้แห้ง เต้งกำลังกุลีกุจอถอนหนามหลาโอนจากฝ่าเท้าและ
ก็องนอนแผ่หราอยู่บนกองใบไม้แห้ง เต้งกำลังกุลีกุจอถอนหนามหลาโอนจากฝ่าเท้าและ
เนื้อตัวให้พี่ชาย เสียงสะท้อนถอนหายใจดังเหมือนเสียงสะอื้น เด็กชายลืมตาขึ้นแล้วยิ้มทั้งน้ำตา แก้เชือกที่ผูกข้อมือออกอย่างอ่อนระโหย ค่อย ๆ สาวมันลงมาอย่างระมัดระวัง เหมือนสาว
สายหัวใจ เท้าข้างหนึ่งปวดระบมจนสุดที่จะระบาย ตามเนื้อตัวหูหัวแต้มพราวไปด้วยเลือดหยดเล็ก
ๆ หนามหลายเล่มยังหักฝังอยู่ใต้ผิวหนัง
เขาคงจะขึ้นตาลไม่ได้อีกหลายวันน้ำผึ้งแว่นที่สะสมเอาไว้วันละเล็กน้อยคงเต็มปี๊บไม่ทันวันนัดมะรืนนี้
แต่ทว่าพรุ่งนี้ว่าวสีขาวตัวที่เปรียบเสมือนชีวิตของเขาจะต้องขึ้นกลับไปผงาดอยู่บนท้องฟ้าเช่นเดิม
น้ำตาหยดหนึ่งไหลลากเป็นทางจากหางตาถึงติ่งหู
เด็กชายเอื้อมมือไปกำแน่นที่ข้อมือของน้องชาย สายตาทอดจับแน่นิ่งอยู่ที่ว่าวสีขาวตัวนั้นเนิ่นนาน
แล้วรอยยิ้มแห่งชัยชนะก็แต้มพราวบนริมฝีปากดำเกรียม
ที่มา : ประมวล มณีโรจน์. รวมเรื่องสั้นว่าวสีขาวกับผองปีกแห่งความหวัง.
สงขลา. ประภาคาร. 2532
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น