สารคดีชีวประวัติฉบับย่อ เรื่อง กว่าจะได้นั่งบัลลังก์ศาล
โดยประพาส หมอกม่วง
ยายด้วงอาศัยอยู่ที่บ้านควนพลี อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง นางเป็นหญิงหม้ายที่เลี้ยงดูบุตรแปดคนเพียงลำพัง ลูกคนที่สองของยายด้วงเป็นหญิงใบ้ชื่อตุ๊กตา เธอเป็นคนหน้าตาน่ารัก
จึงเป็นที่หมายปองของหนุ่ม ๆ ในหมู่บ้าน อยู่มาวันหนึ่งชายแปลกหน้าพาเธอหนีไป ท้ายที่สุดตุ๊กตาก็อุ้มท้องกลับมาโดยไร้วี่แววของชายนิรนาม ทำให้ยายด้วงโกรธมาก เนื่องจากขณะนั้น
ลูกชายคนโตของนางดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน นับว่าเป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียงในสังคม เมื่อเด็กชายดำลูกของตุ๊กตาลืมตาดูโลกได้ไม่นาน แม่ก็แต่งงานใหม่กับชายใบ้แล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น
ตั้งแต่จำความได้ดำอาศัยอยู่กับยายและลูกพี่ลูกน้องอีกสองคนชื่อเจิดกับช้าง ดำเป็น
กำลังสำคัญในการทำมาหากิน ชีวิตของเขาต้องประสบกับความยากลำบากและอุปสรรคมากมาย ส่งผลให้เขาเป็นคนขยัน หนักเอาเบาสู้ ดำรู้ว่าตนเองชื่อจริงว่านิคมเมื่อเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา
ปีที่ 1 ที่โรงเรียนบ้านควนพลี เมื่อจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ดำต้องหยุดเรียนเพื่อมาทำนาและทำงานรับจ้างประมาณ 1 ปีครึ่ง ก็มีความหวังอยากเรียนต่อ เขาใฝ่ฝันอยากจะเป็นตำรวจ จึงเรียนต่อที่โรงเรียนผู้ใหญ่บ้านควนขนุน 1 ปีครึ่ง ก็จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากนั้นจึงไปสมัครสอบตำรวจที่โรงเรียนตำรวจภูธรฯ จังหวัดยะลา แต่เขาประสบอุบัติเหตุจากการขับรถมอเตอร์ไซค์
ข้อเท้าแพลง ความฝันที่อยากเป็นตำรวจจึงต้องล้มเลิก เมื่อมีเวลาว่างเขามักจะไปอยู่ที่ขนำของพี่นุ พี่นุเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของดำ เพื่อนคนนี้เป็นผู้วางแผนชีวิตและจุดประกายฝันให้ดำเรียนต่อ เวลา 1 ปีที่ได้อยู่กับพี่นุทำให้ดำเกิดแรงบันดาลใจคิดที่จะเรียนต่อให้ได้ และเมื่อพี่นุกลับกรุงเทพฯ ทั้งสองจึงติดต่อกันทางจดหมาย
ดำได้สมัครเป็นช่างซ่อมรถและทำงานที่ร้านซ่อมรถของน้าฉิกจนมีความชำนาญ เมื่ออายุ 20 ปี จึงไปสมัครเรียนต่อที่โรงเรียนผู้ใหญ่สตรีพัทลุง เขาไปเรียนภาคค่ำเพราะช่วงกลางวันต้องทำงานที่ร้าน เมื่อดำจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พี่นุส่งจดหมายมาชวนไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ
ดำตัดสินใจเรียนต่อทันที การเดินทางไกลครั้งแรกในชีวิตได้สร้างความตื่นเต้นและความวิตกกังวลให้กับเขามาก แต่สุดท้ายดำก็ไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย เขาอาศัยอยู่กับพี่นุที่ห้องเช่า
หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง ดำตัดสินใจเลือกเรียนคณะนิติศาสตร์เพราะเขาคิดว่าเขาไม่เก่ง
วิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ เนื่องจากคณะนี้เรียนวิชาดังกล่าวไม่มาก
ขณะที่เรียนปี 1 เขาก็ลงทุนขายน้ำเต้าหู้ เพื่อหาเงินเป็นทุนในการศึกษาของตน โดยไม่ต้องพึ่งยาย แต่เมื่อเรียนปี 2 เนื้อหาวิชาเข้มข้นขึ้นจึงต้องหยุดขายน้ำเต้าหู้ และได้มาพักอยู่ใน
มหาวิทยาลัยโดยใช้ดาดฟ้าบนหลังคาส้วมเป็นที่อาศัย ดำเรียนจบปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์
ใช้เวลาเรียน 3 ปีเท่านั้น ทำให้ยายดีใจมาก จากนั้นเขาได้เรียนต่อเนติบัณฑิตใช้เวลา 1 ปี
เมื่อทำงานเขาก็ได้ไปรับแม่มาอยู่ด้วยที่กรุงเทพฯ และตั้งใจจะสอบผู้พิพากษา เขาใช้
ความพยายามถึง 3 ครั้ง จึงประสบความสำเร็จ สามารถสอบเป็นผู้พิพากษาได้ มีเงินและมี
ความมั่นคงในชีวิต สามารถดูแลแม่และยายให้มีความสุขสบาย แม้ชีวิตของเขาจะประสบ
ความยากลำบากมาตลอด แต่ด้วยจิตใจอันแข็งแกร่งเปี่ยมด้วยความมุมานะ ขยันอดทน และ
ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค ทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างน่ายินดียิ่ง
ข้อความ/สิ่งที่ประทับใจ
หน้า 33
“ความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมคือสิ่งที่อยู่ในใจของผมตลอดมา ความอคติ
ความลำเอียงจากเหตุต่าง ๆ ไม่ควรให้มีในใจของมนุษย์ ความยุติธรรมเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งจึงไม่ควร
ถูกทำลายไปจากใจของมนุษย์”
สะท้อนให้เห็นว่าผู้เขียนมีวิสัยทัศน์และอุดมการณ์ที่เหมาะสมกับผู้ซึ่งธำรงรักษา
ความยุติธรรมของบ้านเมือง นั่นคือ “ผู้พิพากษา”
หน้า 41
“สำหรับผมเห็นว่า ครูคือผู้สมควรได้รับการยกย่องรองจากพ่อแม่ เพราะครูท่านเป็นผู้ให้ตลอดมา และยังมีครูอีกจำนวนมาก ที่คอยทำหน้าที่ส่งลูกศิษย์ให้ถึงฝั่ง ขอให้ครูทั้งหลายจงภูมิใจเถอะว่า ท่านคือผู้ที่มีคุณค่าต่อสังคมเสมอ”
สะท้อนให้เห็นว่าผู้เขียนเป็นผู้ที่เห็นคุณค่าของอาชีพครูที่มีต่อสังคม ไม่ลืมบุญคุณของครูที่คอยอบรมสั่งสอน ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ อีกทั้งยังให้กำลังใจแก่ผู้ที่ประกอบอาชีพครูอีกด้วย
หน้า 93
“ชีวิตคนเรา ต้องมีจังหวะก้าวเดิน เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ บ้านที่สร้างขึ้นมาก็ถูกเรียงด้วยอิฐที่ละก้อน ทุกอย่างอย่ารีบร้อน ทุกสิ่งมีเวลาของมันเอง เหมือนดังคำสุภาษิตที่บอกว่า
กรุงโรมหาได้สร้างวันเดียวไม่ ชีวิตของผมก็เช่นเดียวกัน”
ข้อความข้างต้นสามารถนำไปเป็นคติประจำใจให้มีกำลังใจต่อสู้อุปสรรคที่ละขั้นได้
คุณค่าที่ได้รับ
1. การอ่านสารคดีชีวประวัติ เรื่อง กว่าจะได้นั่งบัลลังก์ศาล ทำให้เกิดแนวคิดและกำลังใจในการดำเนินชีวิตมากมาย ทำให้เรารู้ว่าคนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้น ไม่จำเป็นต้องเกิดในครอบครัวที่พรั่งพร้อมเสมอไป แต่ความสำเร็จจะเป็นของคนที่มีความมานะพยายาม ขยันและอดทนเท่านั้น
2. คุณค่าด้านกฎหมาย ผู้เขียนสะท้อนให้เห็นว่ากว่าจะได้เป็นผู้พิพากษานั้นต้องผ่านขั้นตอนมากมาย และหนึ่งในคุณสมบัติของมนุษย์ที่พึงมีคือความยุติธรรม เพราะความยุติธรรมเป็นสิ่งที่ช่วยจรรโลงสังคม
3. กลวิธีการเขียนเรื่องกว่าจะได้นั่งบัลลังก์ศาล แม้จะเป็นการเรียบเรียงภาษาที่เรียบง่าย
แต่ก็สามารถทำให้กระทบความรู้สึกของผู้อ่านได้ตลอด เพราะผู้เขียนเขียนด้วยความจริงใจ ซึ่งเป็นเรื่องจริงในชีวิตของเขา ไม่ได้ใช้ภาษาอ้อนวอนให้สงสารแต่ประการใด
4. คุณค่าด้านทัศนคติ ผู้เขียนสะท้อนให้เห็นว่าอย่าเอาปมด้อยของตนเองมาเป็นอุปสรรคของชีวิต อย่าเอาความขาดมาเป็นเครื่องบั่นทอน ทำให้เกิดความท้อแท้ ความยากจนไม่ใช่อุปสรรคของชีวิต มันเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ซึ้งถึงคุณค่าของความสำเร็จ
บัลลังก์แห่งความสำเร็จ
เราต้องรู้จักคุณค่าของตนเอง การรู้จักคุณค่าของตนเองเป็นกุญแจดอกแรกที่จะนำไปสู่ความสำเร็จโดยเราต้องค้นหาชีวิตและศักยภาพของตัวเองให้พบว่า เราดีด้านไหนและมากน้อยเพียงใด การที่เราจะก้าวไปข้างหน้าสู่จุดหมายที่สูงขึ้นทั้งชีวิตส่วนตัวและการงานได้นั้น เราต้องยอมรับความจริงพื้นฐานที่ว่า เราเป็นคนที่มีความสามารถไร้ข้อจำกัด และให้คิดอยู่ตลอดเวลาว่าใครก็ตามที่ได้ประสบความสำเร็จในชีวิต เราก็ทำได้สำเร็จเช่นเดียวกัน ผู้เขียนยอมรับความจริง
กับชีวิตว่า “คนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้แต่เราทุกคนมีสิทธิที่จะกำหนดชีวิตของตนเองว่า จะก้าวไปถึงจุดใดและดำรงชีวิตอย่างไรจึงจะมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์”
เราต้องมีความใฝ่ฝันและใฝ่รู้ ความใฝ่ฝันจะต้องประกอบด้วยความเชื่อและความคาดหวัง เพราะเป็นเสมือนพลังที่ขับเคลื่อนชีวิต ให้เราไปถึงความสำเร็จได้อย่างคาดไม่ถึง แต่ความใฝ่ฝัน
ของคนเราจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ด้วย ผู้เขียนมีความใฝ่ฝันครั้งแรกอยากเป็นตำรวจ แต่เมื่อไปสมัครแล้วปรากฏว่าไม่สามารถไปสอบได้เพราะได้รับอุบัติเหตุเสียก่อน จึงล้มเลิก
ความคิดที่จะเป็นตำรวจ ต่อมามีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นเถ้าแก่ร้านซ่อมรถจึงได้สมัครเป็นช่างซ่อมรถ ฝึกทักษะจนชำนาญ แต่ในช่วงเวลานั้นผู้เขียนก็มีความใฝ่ฝันอยากจะเรียนต่อในระดับ
ปริญญาตรี ความคิดที่จะเป็นเถ้าแก่ร้านซ่อมรถจึงเปลี่ยนไป ผู้เขียนมีความใฝ่ฝันหลายอย่างแต่ก็เลือกที่จะเอาความใฝ่ฝันที่สูงสุดในชีวิตตามโอกาสและเหตุปัจจัยที่นำพาแต่ละช่วงก้าวเดิน
ส่วนการใฝ่รู้ ปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าของโลกทุกด้านเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนต้องมีการใฝ่รู้ตลอดเวลา ดังคำกล่าวที่ว่า “เราต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต” การใฝ่รู้มีได้ทั้งด้านวิชาการและประสบการณ์ตรง แล้วแต่บุคคลจะถนัดด้านไหน บางคนอาจจะถนัดอ่าน บางคนอาจจะถนัดฟัง ปัจจุบันข้อมูลข่าวสารแหล่งเรียนรู้ปรากฏอยู่ในโลกของอินเตอร์เน็ต เป็นแหล่งข้อมูลที่กว้างขวางและเปิดเผย เราจึงไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่มีการใฝ่รู้
เราต้องมีเป้าหมายในชีวิต บุคคลใดที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตจะต้องเริ่มกำหนดเป้าหมายของชีวิตเสียตั้งแต่วันนี้ โดยบอกกับตนเองว่า ไม่มีเวลาเหลือพอสำหรับชีวิตที่อยู่ไปวัน ๆ อีกแล้ว เมื่อเราได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน อนาคตของเราจะเปลี่ยนแปลงไปในทางบวก
ความเป็นไปได้ของความสำเร็จก็จะเริ่มคืบคลานมาหาเราในไม่ช้า
เราต้องลงมือทำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมาจะประสบความสำเร็จไม่ได้หากไม่ลงมือทำ โดยเริ่มที่ลงมือกระทำด้วยใจรัก เพราะฉะนั้นถ้าเราทำสิ่งใดก็ตามขอให้ทำด้วยใจรักจริง ๆ ต่อมาต้อง
ลงมือทำด้วยความอดทนและพยายาม ทุกคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ถ้าสอบถามแล้วเขาก็จะพูดเป็นเสียงเดียวว่า เราต้องมีความอดทนพยายาม ส่วนความเกียจคร้านเป็นบ่อเกิดของ
ความล้มเหลว เช่น ผู้เขียนเรียนปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ เขารู้ว่าเขาเรียนจบมาจากโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ไม่เหมือนคนอื่น ๆ ที่ศึกษามาในระบบ จึงได้พยายามอดทนอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ
จนทำให้เขาได้รับผลการตอบแทนที่คุ้มค่า สามารถเรียนจบในเวลา 3 ปี และสอบเนติบัณฑิตได้ภายในเวลา 1 ปี และเมื่อลงมือทำแล้วจะต้องทำด้วยใจรักที่มีความหวัง
เราต้องไม่ยอมแพ้เมื่อล้มเหลว ผู้ที่ต้องการก้าวไปสู่ความสำเร็จจะต้องไม่มองความล้มเหลวเป็นอุปสรรค แต่ควรคิดว่าอุปสรรคจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้ชีวิตดียิ่งขึ้น ขอให้เราเริ่มลงมือทำใหม่ ผลแห่งความสำเร็จก็จะค่อย ๆ ก่อร่างของมันขึ้นมาเอง และอาจจะไม่สำเร็จในทันทีทันใดถ้าเราไม่ท้อใจเสียก่อน ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราได้แน่นอน ผู้เขียนได้ผ่าน
การล้มเหลวหลายครั้ง เช่น ไม่ได้เป็นตำรวจ ต้องสอบผู้พิพากษาถึงสามครั้ง แต่ละครั้งที่ล้มเหลวได้นำความล้มเหลวมาแก้ไขปรับปรุงก็จะได้เห็นบทเรียนที่มีคุณค่าแฝงอยู่ทุกครั้ง ผู้เขียนกล่าวว่า “ความล้มเหลวคือครูหรือบทเรียนที่มีราคาแพง”
เราต้องมีที่ปรึกษาที่ดี พ่อแม่เป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา เพราะท่านเป็นผู้ผ่านประสบการณ์มากมาย ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน ต่อมาคือครูอาจารย์เป็นผู้ที่มีความหวังดีต่อ
ลูกศิษย์ หรือคนที่เราวางใจได้คือเพื่อนแท้นั่นเอง
เราต้องรู้จักขอบคุณในทุกกรณี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา มีเหตุมีผลและเป้าหมายในตัวทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นให้เราเรียนรู้ที่จะขอบคุณ เหตุการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อมันเข้ามาในชีวิตของเรา เพื่อจะทำให้เรามีสันติสุขในการต่อสู้ชีวิตต่อไป
ชื่นชอบวรรณกรรมเรื่องนี้มากครับ อ่านแล้วให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตมาเลยครับ...
ตอบลบ