เรื่องสั้น ครีบหัก
ประภัสสร เสวิกุล
แดดยามบ่ายทอดตัวเข้ามาทางหน้าร้าน
สายลมที่อ้อยอิ่งหยอกเอินระฆังกระเบื้องใบเล็กๆซึ่งแขวนอยู่บนกรอบประตู ส่งเสียงดังกุ๋งกิ๋งปลุกเด็กชายร่างเล็กอายุราว
10-11 ขวบ ที่ยืนพิงแผงใส่อุปกรณ์ตบแต่งตู้ปลาให้ตื่นจากภวังค์ เด็กชายรีบเงยหน้าขึ้นจากอาการหงุบงีบและเหลียวมองไปทางเคาน์เตอร์ตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่สุดมุมห้องด้านในอย่างหวาด
ๆ แต่เมื่อเห็นหนุ่มใหญ่เจ้าของร้านยังคงฟุบหน้าอยู่กับเคาน์เตอร์
เด็กชายก็ค่อยหายใจออกอย่างโล่งอกและหันกลับมามองตู้ปลาที่เรียงรายอยู่บนชั้นเหล็กสองฟาก
แต่ละตู้เต็มไปด้วยฝูงปลาหลากชนิดที่ว่ายวนไปมาในตู้กระจกใสสะอาดท่ามกลางพรายน้ำจากท่อออกซิเจนที่ผุดพร่างไม่ขาดสายและกิ่งก้านสาหร่ายที่ไหวพลิ้วเอนโอน
อากาศอ้าวจนเด็กชายต้องขยับเสื้อยืดคอกลมสีขาวมอ
ๆ ตัวโคร่งที่สวมอยู่เพื่อระบายความร้อนให้กับตัวเอง...เกือบปีเห็นจะได้ที่เขาเข้ามาเป็นลูกจ้างร้านขายปลาตู้แห่งหนึ่ง
แม้งานจะเบากว่าการเป็นลูกมือช่างปูนและไม่ต้องแก่งแย่งกับใครเหมือนตอนที่รับจ้างเข็นรถผักในตลาด
วันทั้งวันอยู่แต่ในร้าน
ทำความสะอาดตู้ปลา ขายปลา
ลูกน้ำ หนอนแดง และข้าวของเครื่องใช้เกี่ยวกับการเลี้ยงปลาไปตามเรื่องแต่สิ่งเดียวที่ทำให้เด็กชายออกจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการทำงานที่นี่ ก็คือ
อารมณ์อันหงุดหงิดปรวนแปรของเฮียกุ่ยเจ้าของร้านพิการ
เฮียกุ่ย อายุในราว 40 ปี ร่างกายท่อนบนค่อนข้างเจ้าเนื้อ
ในขณะที่ท่อนล่างตั้งแต่ตะโพกลงมาลีบเล็กจนไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้ และสิ่งที่เป็นเสมือน “ขา” ทั้งสองข้างของแกก็คือเก้าอี้เข็นซึ่งแกนั่งจมอยู่ตลอดวัน...แม้สายตาจะสั้นมากจนต้องสวมแว่นตาหนาเตอะ แต่ตาแกก็ไวพอๆกับปาก
และไม่ว่าเด็กชายจะทำอะไรผิดดูเหมือนจะไม่เคยรอดพ้นจากสายตาของชายพิการไปได้และสิ่งที่ติดตามมาก็คือ
เสียงด่าทอ หยาบๆ คายๆ
มีคนเล่าว่าเดิมเฮียกุ่ยก็มีรูปร่างสมประกอบดีทุกอย่าง แต่ตอนที่อายุ 25-26 ปี
ขณะที่ซ้อนมอเตอร์ไซด์เพื่อนไปเที่ยวก็เกิดอุบัติเหตุถูกรถเก๋งที่แล่นตามมาชนท้ายมอเตอร์ไซด์อย่างแรง เพื่อนหัวน็อคพื้นตายคาที่ ส่วนตัวเฮียกุ่ยเองถึงจะไม่ตายแต่ก็กลายเป็นอัมพาต
ต้องนั่งบนรถเข็นไม่สามารถเดินเหินไปไหนมาไหนได้อีก
ทุกวันเด็กชายต้องรีบตื่นแต่เช้ามาเก็บกวาดร้าน เช็ดล้างถ่ายน้ำตู้ปลาให้อาหารปลา และจัดข้าวของต่างๆพอสักสิบโมงเช้าเฮียกุ่ยจึงจะเข็นเก้าอี้ออกมาจากห้องนอนมาตรวจตราความเรียบร้อย
อย่างละเอียดลอออีกครั้งหนึ่งก่อนจะเข้าประจำที่ของแกที่เคาน์เตอร์มุมห้องที่มืดทึม....เคาน์เตอร์เก่าๆซึ่งเป็นทั้งที่ทำงาน
โต๊ะอาหารและสถานที่พักผ่อนเสร็จสรรพ
ในช่วงบ่ายที่ลูกค้าปลอดเฮียกุ่ยมักจะฟุบหน้ากับเคาน์เตอร์หลับไปเป็นเวลานานๆเสียงกรนเบาๆแทรกแซมกับเสียงหึ่งๆของพัดลมยืน
เก่าคร่ำคร่าและเสียงมอเตอร์ตู้ปลา....ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาที่เด็กชายมีความรู้สึกปลอดโปร่งที่สุด ได้พักผ่อนจากการงานและว่างเว้นจากเสียงดุด่าเขามักจะยืนมองฝูงปลาในตู้แต่ละใบอย่างเงียบ ๆ เด็กชายคุ้นเคยกับฝูงปลาเหล่านั้นเหมือนเพื่อนสนิท...
หลายต่อหลายตัวที่เขาเห็นมันมาตั้งแต่ยังเป็นลูกหม้อหัวเท่าเข็มหมุด เขาชอบเฝ้าดูปลาทองตัวอ้วนที่เกล็ดสีทองเป็นประกายระยิบ
โบกโบยครีบหางเป็นพวงพู่อันแบบบางแหวกว่ายพรายน้ำอย่างแช่มช้า
ปลาหางดาบที่ปราดเปรียวเหมือนนักดาบ
ปลาเทวดาตัวแบนรูปร่างเหมือนขนมเปียกปูนหรือปลากัดสีสันสดใสในขวดโหลใบเล็กๆ
บ่อยครั้งที่เด็กชายออกจะใจหายที่ต้องช้อนปลาที่เคยเห็นอยู่ทุกวันใส่ถุงพลาสติกให้ลูกค้าแปลกหน้า เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่า
“บ้านใหม่” ของปลาเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร บางตัวอาจจะได้คนเลี้ยงที่รักและดูแลเอาใจใส่อย่างดี แต่บางตัวอาจถูกเลี้ยงอย่างทิ้ง ๆขว้าง ๆหรืออยู่ปนเปกับปลาพันธุ์ที่ไม่ควรเลี้ยงรวมกัน....
เด็กชายยังจำสภาพของปลาทองหัววุ้นที่ครีบหางอันงดงามแหว่งวิ่น เพราะถูกปลาหางดาบตัวเมียที่ไร้คู่ไล่ตอดด้วยความคลุ้มคลั่งหรือปลาบางตัวที่ตาบอดเพราะโดนพยาธิ
ไชตา ปลาพวกนี้เมื่อคนที่ซื้อไปนำกลับมาให้ดูก็หมดหนทางที่จะช่วยเหลือเยียวยาได้ นอกจากปล่อยให้มันทนทุกข์ทรมานอยู่ในสภาพนั้นจนกว่าจะตายไปเอง
เสียงระฆังกระเบื้องดังกุ๋งกิ๋งอีกครั้ง เด็กชายเหลียวไปมองทางหน้าร้าน
แต่ยังช้ากว่าเสียงของเฮียกุ่ยที่แผดขึ้นมา
“เร็วเข้าสิไอ้เปี๊ยก รีบไปดูว่าเขาจะซื้ออะไร มัวแต่ยืนเป็นบื้ออยู่ได้”
เด็กชายรีบร้อนจนลนลานไปหาลูกค้าคนแรกของช่วงบ่ายวันนี้
ชายหนุ่มคนนั้นเดินเรื่อยๆเข้ามาในร้านและหยุดมองปลาในตู้ด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์
“เรามีปลามาใหม่ๆ เยอะเลยครับ” เฮียกุ่ยส่งเสียงมาจากมุมมืดหลังเคาน์เตอร์
“...ปลาคาร์ปสวยๆ ก็มี
ปลาทองหัวสิงโตก็มีครับ”
“ผมอยากได้ปลาเทวดาสักคู่”
ลูกค้าหน้าใหม่ตัดบทด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
เฮียกุ่ย นิ่งไปนิดหนึ่ง
“เอาซิครับเชิญตามสบาย....เอ้ย ไอ้เปี๊ยกดูปลาให้คุณแกด้วย”
เด็กชายลากม้าเตี้ยๆ มาวางหน้าตู้ปลาเทวดา ตักน้ำใส่ถุงพลาสติกฉวยสวิงอันเล็กๆ
ที่แขวนอยู่ข้างตู้ขึ้นมาถือ แล้วก้าวขึ้นไปยืนคอยทีอยู่บนม้า
“เอาตัวนี้ก็แล้วกัน” ชายหนุ่มชี้มือไปที่ปลาตัวหนึ่ง
เด็กชายเขย่งตัวขึ้นค่อยๆใช้สวิงตะล่อมปลาที่ลูกค้าต้องการมาใส่ถุง
“ตัวผู้หรือตัวเมีย” ชายหนุ่มถามเบาๆ “ตัวเมียครับ”
“งั้นหาตัวผู้อีกตัว...นั่น
ๆ เอาไอ้ตัวใหญ่นั่นก็ได้”
เด็กชายหย่อนสวิงลงไปในตู้ปลาอีกครั้งแต่คราวนี้ดูเหมือนปลาจะรู้ตัวว่าจะถูกจับพลัดพรากจากเพื่อนฝูงแต่ละตัวต่างก็ชิงว่ายหนีกันชุลมุน
“ได้ไหม” ลูกค้าหนุ่มร้องถามพลางชะโงกหน้าเข้ามาชิดตู้ปลา
“ได้แล้วครับ” เด็กชายตอบพลางจ้วงสวิงคว้าปลาเทวดาตัวใหญ่ที่กำลังตื่นตกใจ
“ตัวผู้ใช่ไหม” เด็กชายยกสวิงขึ้นดูปลาที่ดิ้นเร่าๆ ชั่วแวบหนึ่งทั้งๆที่รู้
คำตอบดีอยู่แล้ว
“ครับ”
เขารับคำ
ขณะที่เปิดปากถุงพลาสติกและพลิกสวิงให้ปลาตัวใหม่หล่นลงไปรวมกับตัวเก่า...แต่แทนที่มันจะใช้ครีบพยุงตัว ปลาเทวดาตัวนั้นกลับจมดิ่งลงนอนราบกับก้นถุง
“ปลาเป็นอะไรไป”
ลูกค้าคว้าถุงพลาสติกไปดูด้วยความแปลกใจ
“เอ๊ะ ครีบมันหักไปข้างหนึ่งนี่”
“อะไรนะครับ” เฮียกุ่ยซึ่งทั้งหูและตาเหมือนจะคอยจับผิดลูกจ้างอยู่ตลอดเวลารีบไถเก้าอี้ออกมาอย่างรวดเร็ว...ทันทีที่มองเห็นสภาพของปลาเทวดา สีหน้าของแกก็แดงก่ำ
“อ้ายเปี๊ยก” เจ้าของร้านผู้พิการตะคอกเด็กชายที่เพิ่งก้าวลงจากม้ามายืนตัวลีบ
“...นี่มึงทำยังไงวะ”
“เอาน่าเฮีย เด็กมันไม่ได้ตั้งใจ”
“คุณไม่รู้อะไร อ้ายเด็กเวรนี่ทำผมฉิบหายมาเยอะแล้ว วันก่อนก็มอเตอร์ตก ขวดโหลแตก
แล้วยังปลาเทวดานี่อีก
ตัวใหญ่ๆขนาดนี้ราคาหลายสิบบาทนะครับ”
ชายหนุ่มมองดูเด็กชายที่ยืนก้มหน้านิ่ง
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมให้ค่าปลาตัวที่ครีบหักนี้สิบบาท แต่เฮียอย่าไปทำอะไรเด็กมันนะ”
เฮียกุ่ยเงียบเสียง
ถึงอย่างไรเงินสิบบาทก็ยังดีกว่าจะต้องสูญเสียปลาไปเปล่าๆปลี้ๆ
“หาตัวผู้อีกตัวซิ” ลูกค้าผู้อารีหันไปทางเด็กชาย
“เร็วสิอ้ายเด็กบ้า มัวตะบิดตะบอยอะไรอยู่”
เฮียกุ่ยสำทับเสียงดัง
พลางกุลีกุจอถ่ายปลาตัวเมียใส่ถุงพลาสติกใบใหม่และเทปลาครีบหักโครมลงไปในกะละมังอะลูมิเนียมบุบบี้ที่วางอยู่บนชั้นเหล็กใต้ตู้ปลา
ดึกมากแล้วแสงทึม ๆ จากโคมไฟข้างถนนที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างกระจกหน้าร้านขายปลาตู้
ทำให้มองเห็นร่างเล็กๆ
ของเด็กชายอายุในราว 10-11 ขวบ นั่งอยู่บนม้าเตี้ย
ๆตรงชั้นเหล็กใต้ตู้ปลา
หลังเด็กชายค้อมลงศีรษะหลบต่ำ
สายตาเพ่งมองในกะละมังบุบบี้ที่ปลาเทวดาครีบหักนอนแบนราบอยู่ก้นกะละมัง
เกล็ดสีเงินของมันเป็นประกายวับแวมอยู่ในแสงสลัว ร่างรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน
อันแบบบางนั้นแน่นิ่ง
มีเพียงเหงือกที่ขยับขึ้นลงอย่างอ่อนแรง....เด็กชายชะโงกลงไปอีกจนลมหายใจกระทบผิวน้ำเป็นระลอกแผ่วพริ้วและได้กลิ่นเมือกคาวบางๆที่โชยขึ้นมา..เด็กชายคุ้นเคยกับปลาในร้านเหมือนเพื่อนสนิท
เขาเห็นปลาเทวดาตัวนี้มาตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เขาเคยนึกขำรูปร่างที่โต
เก้งก้างผิดพวกพ้องและลายสีดำที่พาดตามตัวนั้นทำให้ชวนให้นึกถึงม้าลายที่อยู่ในสวนสัตว์ ซึ่งทำให้เขาแอบเรียกมันว่า “ไอ้ม้าลาย”
“ไอ้ม้าลาย” กินจุกว่าปลาเทวดาตัวอื่นๆ ในตู้เดียวกันมันสวาปามไม่เลือก แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนจะหิวโหยอยู่ตลอดเวลา...เด็กชายแอบหย่อนหนอนแดงตัวยาวที่เฮียกุ่ยเก็บไว้ให้ปลาเงินปลาทองให้
“ไอ้ม้าลาย” กินเสมอ
เมื่อเวลาที่เจ้าของร้านผู้พิการเผลอ
เพื่อดูมันโผขึ้นฮุบจนน้ำกระเซ็น
หรือบางทีเมื่อเขาแกล้งเคาะตู้มันก็จะเริ่มมาหาราวกับรู้ภาษา...เด็กชายอดที่เสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อตอนบ่ายวันนี้ไม่ได้ บางทีอาจเป็นเพราะความชุลมุนของฝูงปลาที่แตกตื่น
หรือความเลินเล่อและคะนองของตัวเขาเองที่ทำให้จ้วงสวิงพลาด ไปถูกครีบข้างซ้ายของไ”อ้ม้าลาย”หัก
เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้นึกเสียใจที่ถูกเฮียกุ่ยตัดเงินเดือนหรือโกรธที่แกตบท้ายทอยแรงๆ
เป็นการลงโทษ ทันทีที่ลูกค้าผู้อารีนั้นลับสายตาไป
แต่สิ่งที่ทำให้เด็กชายไม่สบายใจเป็นอย่างมากก็คือสภาพของปลาที่พิการและบาดเจ็บ...เขาจำภาพที่มันแถกตัวแหวกว่ายขึ้นมาด้วยครีบเพียงข้างเดียวก่อนจะค่อยๆร่วงลงสู่ก้นกะละมัง ภาพที่มันแถกตัวไปกับก้นกะละมังอะลูมิเนียมจนเกล็ดยับเยินและภาพที่มันถีบตัวขึ้นใช้ครีบข้างที่เหลือพุ้ยน้ำแล้วว่ายตะแคงๆ
อย่างทุลักทุเลชั่วระยะเวลาสั้นๆ
“ไอ้ม้าลาย” กระเสือกกระสนขึ้นมาเฮือกหนึ่งก่อนจะทิ้งตัวลงอย่างสิ้นหวัง.....เด็กชายตื้อขึ้นมาในอกเมื่อคิดว่ามันคงต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างมากที่ต้องกลายเป็นปลาพิการไม่สามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วอย่างเคย และมีลมหายใจผะงาบๆ รอวันตาย
เฮียกุ่ยเงยหน้าจากโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กในห้องนอนที่ฟุบหน้าอยู่ แกมองไปทางนาฬิกาตั้งโต๊ะที่บอกเวลา 2 นาฬิกาของวันใหม่
พลางนึกโมโหเด็กลูกจ้างที่ไม่พาแกขึ้นไปนอนบนเตียงเจ้าของร้านปลาผู้พิการเข็นเก้าอี้กึงๆ
ออกมาจากห้องและตั้งท่าจะตะโกนเรียกลูกจ้างแต่ก่อนที่จะเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ไฟที่ข้างฝา สายตาอันคมไวของแกก็เหลือบ ไปเห็นร่างตะคุ่มของเด็กชายที่นั่งโงกหงุบอยู่กับกะละมังบุบบี้ที่ใส่ปลาครีบหัก
หนุ่มใหญ่ผู้พิการจ้องมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เป็นครั้งแรกในหลายปีที่ผ่านมา ที่ความรู้สึกอ่อนโยนโรยรินมาสัมผัสจิตใจอันแห้งผาก.....แกถอนหายใจลึกๆ ขณะที่หมุนเก้าอี้กลับและไถรถช้าๆ เข้าไปในห้อง
เฮียกุ่ยขยับแว่นตาหนาเตอะที่สวมอยู่
ขณะที่เพ่งสายตาฝ่าความมืดสลัวออกไปยังร่างของลูกจ้างก่อนที่จะค่อยๆ หับบานประตูห้องนอนปิดลงอย่างแผ่วเบา
ที่มา
: ประภัสสร เสวิกุล
ครีบหัก (รางวัลชมเชยประเภทเรื่องสั้น เนื่องในงานสัปดาห์หนังสือ
แห่งชาติ ประจำปี 2534 ) กรุงเทพมหานคร : ดอกหญ้า 2535
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น