วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ครีบหัก

เรื่องสั้น ครีบหัก

ประภัสสร เสวิกุล

        แดดยามบ่ายทอดตัวเข้ามาทางหน้าร้าน  สายลมที่อ้อยอิ่งหยอกเอินระฆังกระเบื้องใบเล็กๆซึ่งแขวนอยู่บนกรอบประตู  ส่งเสียงดังกุ๋งกิ๋งปลุกเด็กชายร่างเล็กอายุราว 10-11 ขวบ ที่ยืนพิงแผงใส่อุปกรณ์ตบแต่งตู้ปลาให้ตื่นจากภวังค์  เด็กชายรีบเงยหน้าขึ้นจากอาการหงุบงีบและเหลียวมองไปทางเคาน์เตอร์ตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่สุดมุมห้องด้านในอย่างหวาด ๆ  แต่เมื่อเห็นหนุ่มใหญ่เจ้าของร้านยังคงฟุบหน้าอยู่กับเคาน์เตอร์   เด็กชายก็ค่อยหายใจออกอย่างโล่งอกและหันกลับมามองตู้ปลาที่เรียงรายอยู่บนชั้นเหล็กสองฟาก  แต่ละตู้เต็มไปด้วยฝูงปลาหลากชนิดที่ว่ายวนไปมาในตู้กระจกใสสะอาดท่ามกลางพรายน้ำจากท่อออกซิเจนที่ผุดพร่างไม่ขาดสายและกิ่งก้านสาหร่ายที่ไหวพลิ้วเอนโอน
              อากาศอ้าวจนเด็กชายต้องขยับเสื้อยืดคอกลมสีขาวมอ ๆ ตัวโคร่งที่สวมอยู่เพื่อระบายความร้อนให้กับตัวเอง...เกือบปีเห็นจะได้ที่เขาเข้ามาเป็นลูกจ้างร้านขายปลาตู้แห่งหนึ่ง  แม้งานจะเบากว่าการเป็นลูกมือช่างปูนและไม่ต้องแก่งแย่งกับใครเหมือนตอนที่รับจ้างเข็นรถผักในตลาด วันทั้งวันอยู่แต่ในร้าน  ทำความสะอาดตู้ปลา ขายปลา  ลูกน้ำ  หนอนแดง  และข้าวของเครื่องใช้เกี่ยวกับการเลี้ยงปลาไปตามเรื่องแต่สิ่งเดียวที่ทำให้เด็กชายออกจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการทำงานที่นี่  ก็คือ  อารมณ์อันหงุดหงิดปรวนแปรของเฮียกุ่ยเจ้าของร้านพิการ
              เฮียกุ่ย  อายุในราว 40 ปี  ร่างกายท่อนบนค่อนข้างเจ้าเนื้อ  ในขณะที่ท่อนล่างตั้งแต่ตะโพกลงมาลีบเล็กจนไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้  และสิ่งที่เป็นเสมือน ขา ทั้งสองข้างของแกก็คือเก้าอี้เข็นซึ่งแกนั่งจมอยู่ตลอดวัน...แม้สายตาจะสั้นมากจนต้องสวมแว่นตาหนาเตอะ  แต่ตาแกก็ไวพอๆกับปาก  และไม่ว่าเด็กชายจะทำอะไรผิดดูเหมือนจะไม่เคยรอดพ้นจากสายตาของชายพิการไปได้และสิ่งที่ติดตามมาก็คือ เสียงด่าทอ หยาบๆ คายๆ
             มีคนเล่าว่าเดิมเฮียกุ่ยก็มีรูปร่างสมประกอบดีทุกอย่าง  แต่ตอนที่อายุ 25-26 ปี ขณะที่ซ้อนมอเตอร์ไซด์เพื่อนไปเที่ยวก็เกิดอุบัติเหตุถูกรถเก๋งที่แล่นตามมาชนท้ายมอเตอร์ไซด์อย่างแรง  เพื่อนหัวน็อคพื้นตายคาที่ ส่วนตัวเฮียกุ่ยเองถึงจะไม่ตายแต่ก็กลายเป็นอัมพาต  ต้องนั่งบนรถเข็นไม่สามารถเดินเหินไปไหนมาไหนได้อีก
             ทุกวันเด็กชายต้องรีบตื่นแต่เช้ามาเก็บกวาดร้าน  เช็ดล้างถ่ายน้ำตู้ปลาให้อาหารปลา  และจัดข้าวของต่างๆพอสักสิบโมงเช้าเฮียกุ่ยจึงจะเข็นเก้าอี้ออกมาจากห้องนอนมาตรวจตราความเรียบร้อย
  
อย่างละเอียดลอออีกครั้งหนึ่งก่อนจะเข้าประจำที่ของแกที่เคาน์เตอร์มุมห้องที่มืดทึม....เคาน์เตอร์เก่าๆซึ่งเป็นทั้งที่ทำงาน โต๊ะอาหารและสถานที่พักผ่อนเสร็จสรรพ
                ในช่วงบ่ายที่ลูกค้าปลอดเฮียกุ่ยมักจะฟุบหน้ากับเคาน์เตอร์หลับไปเป็นเวลานานๆเสียงกรนเบาๆแทรกแซมกับเสียงหึ่งๆของพัดลมยืน เก่าคร่ำคร่าและเสียงมอเตอร์ตู้ปลา....ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาที่เด็กชายมีความรู้สึกปลอดโปร่งที่สุด  ได้พักผ่อนจากการงานและว่างเว้นจากเสียงดุด่าเขามักจะยืนมองฝูงปลาในตู้แต่ละใบอย่างเงียบ  ๆ  เด็กชายคุ้นเคยกับฝูงปลาเหล่านั้นเหมือนเพื่อนสนิท... หลายต่อหลายตัวที่เขาเห็นมันมาตั้งแต่ยังเป็นลูกหม้อหัวเท่าเข็มหมุด เขาชอบเฝ้าดูปลาทองตัวอ้วนที่เกล็ดสีทองเป็นประกายระยิบ  โบกโบยครีบหางเป็นพวงพู่อันแบบบางแหวกว่ายพรายน้ำอย่างแช่มช้า ปลาหางดาบที่ปราดเปรียวเหมือนนักดาบ  ปลาเทวดาตัวแบนรูปร่างเหมือนขนมเปียกปูนหรือปลากัดสีสันสดใสในขวดโหลใบเล็กๆ
               บ่อยครั้งที่เด็กชายออกจะใจหายที่ต้องช้อนปลาที่เคยเห็นอยู่ทุกวันใส่ถุงพลาสติกให้ลูกค้าแปลกหน้า   เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่า บ้านใหม่ ของปลาเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร บางตัวอาจจะได้คนเลี้ยงที่รักและดูแลเอาใจใส่อย่างดี   แต่บางตัวอาจถูกเลี้ยงอย่างทิ้ง ๆขว้าง ๆหรืออยู่ปนเปกับปลาพันธุ์ที่ไม่ควรเลี้ยงรวมกัน.... เด็กชายยังจำสภาพของปลาทองหัววุ้นที่ครีบหางอันงดงามแหว่งวิ่น เพราะถูกปลาหางดาบตัวเมียที่ไร้คู่ไล่ตอดด้วยความคลุ้มคลั่งหรือปลาบางตัวที่ตาบอดเพราะโดนพยาธิ
ไชตา  ปลาพวกนี้เมื่อคนที่ซื้อไปนำกลับมาให้ดูก็หมดหนทางที่จะช่วยเหลือเยียวยาได้  นอกจากปล่อยให้มันทนทุกข์ทรมานอยู่ในสภาพนั้นจนกว่าจะตายไปเอง
              เสียงระฆังกระเบื้องดังกุ๋งกิ๋งอีกครั้ง  เด็กชายเหลียวไปมองทางหน้าร้าน แต่ยังช้ากว่าเสียงของเฮียกุ่ยที่แผดขึ้นมา     
             “เร็วเข้าสิไอ้เปี๊ยก  รีบไปดูว่าเขาจะซื้ออะไร  มัวแต่ยืนเป็นบื้ออยู่ได้
              เด็กชายรีบร้อนจนลนลานไปหาลูกค้าคนแรกของช่วงบ่ายวันนี้  ชายหนุ่มคนนั้นเดินเรื่อยๆเข้ามาในร้านและหยุดมองปลาในตู้ด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์
            เรามีปลามาใหม่ๆ  เยอะเลยครับ  เฮียกุ่ยส่งเสียงมาจากมุมมืดหลังเคาน์เตอร์
            ...ปลาคาร์ปสวยๆ  ก็มี  ปลาทองหัวสิงโตก็มีครับ
            ผมอยากได้ปลาเทวดาสักคู่ลูกค้าหน้าใหม่ตัดบทด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
เฮียกุ่ย  นิ่งไปนิดหนึ่ง
            เอาซิครับเชิญตามสบาย....เอ้ย  ไอ้เปี๊ยกดูปลาให้คุณแกด้วย

เด็กชายลากม้าเตี้ยๆ  มาวางหน้าตู้ปลาเทวดา  ตักน้ำใส่ถุงพลาสติกฉวยสวิงอันเล็กๆ ที่แขวนอยู่ข้างตู้ขึ้นมาถือ แล้วก้าวขึ้นไปยืนคอยทีอยู่บนม้า
             เอาตัวนี้ก็แล้วกัน ชายหนุ่มชี้มือไปที่ปลาตัวหนึ่ง  เด็กชายเขย่งตัวขึ้นค่อยๆใช้สวิงตะล่อมปลาที่ลูกค้าต้องการมาใส่ถุง
             “ตัวผู้หรือตัวเมีย ชายหนุ่มถามเบาๆ    ตัวเมียครับ
             งั้นหาตัวผู้อีกตัว...นั่น ๆ  เอาไอ้ตัวใหญ่นั่นก็ได้ เด็กชายหย่อนสวิงลงไปในตู้ปลาอีกครั้งแต่คราวนี้ดูเหมือนปลาจะรู้ตัวว่าจะถูกจับพลัดพรากจากเพื่อนฝูงแต่ละตัวต่างก็ชิงว่ายหนีกันชุลมุน
             ได้ไหม ลูกค้าหนุ่มร้องถามพลางชะโงกหน้าเข้ามาชิดตู้ปลา
             ได้แล้วครับ เด็กชายตอบพลางจ้วงสวิงคว้าปลาเทวดาตัวใหญ่ที่กำลังตื่นตกใจ
             ตัวผู้ใช่ไหม เด็กชายยกสวิงขึ้นดูปลาที่ดิ้นเร่าๆ ชั่วแวบหนึ่งทั้งๆที่รู้ คำตอบดีอยู่แล้ว
             ครับ เขารับคำ  ขณะที่เปิดปากถุงพลาสติกและพลิกสวิงให้ปลาตัวใหม่หล่นลงไปรวมกับตัวเก่า...แต่แทนที่มันจะใช้ครีบพยุงตัว  ปลาเทวดาตัวนั้นกลับจมดิ่งลงนอนราบกับก้นถุง
             ปลาเป็นอะไรไป  ลูกค้าคว้าถุงพลาสติกไปดูด้วยความแปลกใจ
             เอ๊ะ    ครีบมันหักไปข้างหนึ่งนี่
             “อะไรนะครับ เฮียกุ่ยซึ่งทั้งหูและตาเหมือนจะคอยจับผิดลูกจ้างอยู่ตลอดเวลารีบไถเก้าอี้ออกมาอย่างรวดเร็ว...ทันทีที่มองเห็นสภาพของปลาเทวดา  สีหน้าของแกก็แดงก่ำ
            อ้ายเปี๊ยก เจ้าของร้านผู้พิการตะคอกเด็กชายที่เพิ่งก้าวลงจากม้ามายืนตัวลีบ
            “...นี่มึงทำยังไงวะ
            เอาน่าเฮีย  เด็กมันไม่ได้ตั้งใจ
            คุณไม่รู้อะไร  อ้ายเด็กเวรนี่ทำผมฉิบหายมาเยอะแล้ว  วันก่อนก็มอเตอร์ตก  ขวดโหลแตก  แล้วยังปลาเทวดานี่อีก  ตัวใหญ่ๆขนาดนี้ราคาหลายสิบบาทนะครับ
             ชายหนุ่มมองดูเด็กชายที่ยืนก้มหน้านิ่ง
           เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน    ผมให้ค่าปลาตัวที่ครีบหักนี้สิบบาท  แต่เฮียอย่าไปทำอะไรเด็กมันนะ
เฮียกุ่ยเงียบเสียง  ถึงอย่างไรเงินสิบบาทก็ยังดีกว่าจะต้องสูญเสียปลาไปเปล่าๆปลี้ๆ
           หาตัวผู้อีกตัวซิ ลูกค้าผู้อารีหันไปทางเด็กชาย
           เร็วสิอ้ายเด็กบ้า  มัวตะบิดตะบอยอะไรอยู่ เฮียกุ่ยสำทับเสียงดัง  พลางกุลีกุจอถ่ายปลาตัวเมียใส่ถุงพลาสติกใบใหม่และเทปลาครีบหักโครมลงไปในกะละมังอะลูมิเนียมบุบบี้ที่วางอยู่บนชั้นเหล็กใต้ตู้ปลา
            
            ดึกมากแล้วแสงทึม  ๆ จากโคมไฟข้างถนนที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างกระจกหน้าร้านขายปลาตู้
ทำให้มองเห็นร่างเล็กๆ ของเด็กชายอายุในราว 10-11 ขวบ   นั่งอยู่บนม้าเตี้ย ๆตรงชั้นเหล็กใต้ตู้ปลา  หลังเด็กชายค้อมลงศีรษะหลบต่ำ  สายตาเพ่งมองในกะละมังบุบบี้ที่ปลาเทวดาครีบหักนอนแบนราบอยู่ก้นกะละมัง  เกล็ดสีเงินของมันเป็นประกายวับแวมอยู่ในแสงสลัว  ร่างรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน
อันแบบบางนั้นแน่นิ่ง  มีเพียงเหงือกที่ขยับขึ้นลงอย่างอ่อนแรง....เด็กชายชะโงกลงไปอีกจนลมหายใจกระทบผิวน้ำเป็นระลอกแผ่วพริ้วและได้กลิ่นเมือกคาวบางๆที่โชยขึ้นมา..เด็กชายคุ้นเคยกับปลาในร้านเหมือนเพื่อนสนิท เขาเห็นปลาเทวดาตัวนี้มาตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เขาเคยนึกขำรูปร่างที่โต
เก้งก้างผิดพวกพ้องและลายสีดำที่พาดตามตัวนั้นทำให้ชวนให้นึกถึงม้าลายที่อยู่ในสวนสัตว์  ซึ่งทำให้เขาแอบเรียกมันว่า ไอ้ม้าลาย
        ไอ้ม้าลาย กินจุกว่าปลาเทวดาตัวอื่นๆ ในตู้เดียวกันมันสวาปามไม่เลือก  แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนจะหิวโหยอยู่ตลอดเวลา...เด็กชายแอบหย่อนหนอนแดงตัวยาวที่เฮียกุ่ยเก็บไว้ให้ปลาเงินปลาทองให้ ไอ้ม้าลาย”  กินเสมอ  เมื่อเวลาที่เจ้าของร้านผู้พิการเผลอ  เพื่อดูมันโผขึ้นฮุบจนน้ำกระเซ็น  หรือบางทีเมื่อเขาแกล้งเคาะตู้มันก็จะเริ่มมาหาราวกับรู้ภาษา...เด็กชายอดที่เสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  เมื่อตอนบ่ายวันนี้ไม่ได้   บางทีอาจเป็นเพราะความชุลมุนของฝูงปลาที่แตกตื่น หรือความเลินเล่อและคะนองของตัวเขาเองที่ทำให้จ้วงสวิงพลาด  ไปถูกครีบข้างซ้ายของไอ้ม้าลายหัก
          เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้นึกเสียใจที่ถูกเฮียกุ่ยตัดเงินเดือนหรือโกรธที่แกตบท้ายทอยแรงๆ เป็นการลงโทษ   ทันทีที่ลูกค้าผู้อารีนั้นลับสายตาไป  แต่สิ่งที่ทำให้เด็กชายไม่สบายใจเป็นอย่างมากก็คือสภาพของปลาที่พิการและบาดเจ็บ...เขาจำภาพที่มันแถกตัวแหวกว่ายขึ้นมาด้วยครีบเพียงข้างเดียวก่อนจะค่อยๆร่วงลงสู่ก้นกะละมัง  ภาพที่มันแถกตัวไปกับก้นกะละมังอะลูมิเนียมจนเกล็ดยับเยินและภาพที่มันถีบตัวขึ้นใช้ครีบข้างที่เหลือพุ้ยน้ำแล้วว่ายตะแคงๆ อย่างทุลักทุเลชั่วระยะเวลาสั้นๆ
          ไอ้ม้าลาย กระเสือกกระสนขึ้นมาเฮือกหนึ่งก่อนจะทิ้งตัวลงอย่างสิ้นหวัง.....เด็กชายตื้อขึ้นมาในอกเมื่อคิดว่ามันคงต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างมากที่ต้องกลายเป็นปลาพิการไม่สามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วอย่างเคย  และมีลมหายใจผะงาบๆ รอวันตาย
          เฮียกุ่ยเงยหน้าจากโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กในห้องนอนที่ฟุบหน้าอยู่  แกมองไปทางนาฬิกาตั้งโต๊ะที่บอกเวลา  2  นาฬิกาของวันใหม่  พลางนึกโมโหเด็กลูกจ้างที่ไม่พาแกขึ้นไปนอนบนเตียงเจ้าของร้านปลาผู้พิการเข็นเก้าอี้กึงๆ ออกมาจากห้องและตั้งท่าจะตะโกนเรียกลูกจ้างแต่ก่อนที่จะเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ไฟที่ข้างฝา  สายตาอันคมไวของแกก็เหลือบ  ไปเห็นร่างตะคุ่มของเด็กชายที่นั่งโงกหงุบอยู่กับกะละมังบุบบี้ที่ใส่ปลาครีบหัก
   

          หนุ่มใหญ่ผู้พิการจ้องมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง   เป็นครั้งแรกในหลายปีที่ผ่านมา  ที่ความรู้สึกอ่อนโยนโรยรินมาสัมผัสจิตใจอันแห้งผาก.....แกถอนหายใจลึกๆ  ขณะที่หมุนเก้าอี้กลับและไถรถช้าๆ เข้าไปในห้อง
          เฮียกุ่ยขยับแว่นตาหนาเตอะที่สวมอยู่  ขณะที่เพ่งสายตาฝ่าความมืดสลัวออกไปยังร่างของลูกจ้างก่อนที่จะค่อยๆ  หับบานประตูห้องนอนปิดลงอย่างแผ่วเบา



ที่มา :  ประภัสสร  เสวิกุล   ครีบหัก (รางวัลชมเชยประเภทเรื่องสั้น เนื่องในงานสัปดาห์หนังสือ
           แห่งชาติ ประจำปี 2534 )  กรุงเทพมหานคร : ดอกหญ้า   2535

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น