วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ลุงเปลี่ยน

เรื่องสั้น ลุงเปลี่ยน


วิม อิทธิกุล
ทุกสิ่งย่อมมีกาลเวลาของมัน  ไม่มีความยั่งยืน  มีแต่ความเปลี่ยนแปลง
              ข้อความข้างต้นนี้  ลุงเปลี่ยนแกท่องจำอยู่เสมอในใจ  เพราะลุงเปลี่ยนแกเป็นคนช่างสังเกตมาแต่เด็ก  สังเกตตัวเองและสังเกตสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ล้อมรอบตัวแก
              ลุงเปลี่ยนเคยเห็นเงาตัวเองในกระจก  ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กที่มีใบหน้ายิ้มแย้มสดใส  ดวงตามีแววระรื่นจนกลายมาเป็นใบหน้าของลุงเปลี่ยนที่เหี่ยวย่นแตกระแหงเหมือนดินท้องนาในฤดูแล้ง
              ลุงเปลี่ยนเคยจำภาพดวงหน้าที่ปรานีของแม่  และเสียงบ่นของพ่อได้  แต่แล้วภาพเหล่านี้ได้จางหายไปก่อนที่ใคร ๆ จะเรียกแกว่า ลุงเปลี่ยน
              ลุงเปลี่ยนเคยอิจฉาเจ้าจอมลูกกำนันมิ่ง  เพราะมันอยู่เรือนฝากระดานหลังคามุงกระเบื้องเป็นแบบไทยสองหลังแฝด  พ่อกำนันก็นับได้ว่าเป็นเศรษฐีสมัยนั้น  แต่เดี๋ยวนี้เจ้าจอมกลับกลายเป็นคนงานแบกหาม  แถมขี้เหล้าเมายา   ทุกสิ่งวิบัติสิ้นไปเมื่อพ่อของมันตายแล้ว
              ลุงเปลี่ยนเคยหัวเราะเยาะเจ้าเฮง  ลูกจีนขายข้าวต้มเป็ดวางหาบอยู่ที่ตลาด  แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นเถ้าแก่ร้านขายอาหารสองคูหาที่โอ่โถง  แถมได้สีทองแฟนของลุงเปลี่ยนสมัยเป็นนักเรียนไปครองเสียด้วย
              ตัวลุงเปลี่ยนเองยังอยู่ในโรงนา   อันเป็นสมบัติตกทอดบนผืนที่ดินเพียง  20  ไร่  ควาย  1  ตัว  อีสายเมียแกก็ตายไปหลายปี  ปล่อยให้ลุงเปลี่ยนเป็นหม้ายอยู่ลำพังเดียวดาย
              ใคร ๆก็พากันพูดว่า  ถึงคนอื่นจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  แต่ลุงเปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยนไปอย่างชื่อของแก   สิบปีก่อนมีฐานะอย่างไร  ลุงเปลี่ยนก็คงเป็นอย่างนั้น......
              ลุงเปลี่ยนเองยังเชื่อมั่นในใจเสมอว่า   ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความยั่งยืน   มีแต่ความเปลี่ยนแปลง......
              แต่แล้ววันหนึ่ง........มีถนนของหลวงตัดผ่านมาถูกนา  20  ไร่  ของลุงเปลี่ยนเข้าจัง
เบ้อเร่อ  ผ่ากลางอย่างกับจะจงใจทำให้นาหลุดออกเป็นสองซีก   ซีกหนึ่งติดถนน   อีกซีกโดนทั้งถนนและท้ายติดคลอง
                 
แม้จะเสียเนื้อที่ดินไปไร่เศษ ๆ  แต่ลุงเปลี่ยนก็ยิ้มออก  เพราะอีก  18  ไร่เศษที่เหลืออยู่มันกลายเป็นมหาสมบัติไป
              หลังจากมีเสียงอึงคะนึงที่ตลาดในอำเภอ  รุ่งเช้าก็มีคนแปลกหน้าชาวกรุง  โดยเจ้าจ้อยเพื่อนเก่าของลุงเปลี่ยนเป็นผู้พามา  มันบอกว่า  เจ้านายเขาจะมาเจรจาขอซื้อนาแก  โดยจะให้ราคาอย่างงาม.....
              ลุงเปลี่ยนปฏิเสธอย่างเรียบ ๆ  ว่า  ยังไม่ถึงเวลาจะขาย  ขอรอไว้ก่อน
              พอคนกรุงกลับไปด้วยความผิดหวัง  ลุงเปลี่ยนก็ต้องพบกับความสะเทือนใจครั้งแรก  คือเจ้าจ้อยเพื่อนเก่าของแกมันโกรธ  หาว่าแกช่างไม่ไว้หน้ามัน  และทำให้มันขาดรายได้ค่านายหน้าไป  ถึงกับประกาศไม่ยอมเผาผี
              รายที่สอง  เจ้าเฮงใช้สีทองแฟนเก่าของลุงเปลี่ยนมาขอซื้อนา  โดยให้ราคางามกว่ารายแรก   ลุงเปลี่ยนก็ปฏิเสธอีก  ทำให้สีทองน้อยใจตัดพ้อว่าลุงเปลี่ยนไม่คิดถึงความหลัง  สีทองก็เลยเคือง
ลุงเปลี่ยนไปอีกคน
              รายที่สาม  ผู้ใหญ่วาดมาเสนอให้ลุงเปลี่ยนกู้เงินก้อนใหญ่พอดู  โดยไม่เสียดอกเบี้ย  อ้างว่าลุงเปลี่ยนจะได้มีเงินใช้ส่วนตัว  จะได้มีหน้ามีตาขึ้นบ้าง  และจะได้เอาไว้ทำบุญ  ขอแต่เพียงเอาที่นาของลุงเปลี่ยนมาจำนองไว้กับแก   ลุงเปลี่ยนก็ปฏิเสธไปอีก  ทำให้มองหน้ากันไม่สนิท
              พอถนนสายนั้นลาดยางเสร็จเรียบร้อย  ก็มีข่าวว่านายกรัฐมนตรีจะมาทำพิธีเปิดเร็ว ๆนี้  โรงนาลุงเปลี่ยนยิ่งเต็มไปด้วยผู้คนที่รบกวนแกไม่สร่าง
              คราวหลังนี้มีทั้งขู่ทั้งปลอบ  และมีจดหมายของผู้ทรงอิทธิพลเขียนมาถึงแกด้วยทั้ง ๆ ที่แกไม่เคยรู้จัก  แต่ลุงเปลี่ยนก็เฉยตามเคย
              แปลกที่สุดกว่าทุกรายคือ  มีคนหนุ่มต่างถิ่นกับผู้หญิงสาว  อ้างว่ามาจากอำเภออื่นมาแจงรายละเอียดว่าเป็นลูกของน้องสาวแม่ลุงเปลี่ยน  หรือเรียกว่าน้าเกิด  จะมาขออยู่ด้วย  ช่วยดูแล
ลุงเปลี่ยนและช่วยทำงานให้  ลุงเปลี่ยนก็ปฏิเสธไปโดยบอกว่า  แกไม่เคยมีญาติ
              ถ้าผู้อ่านลองสังเกตแล้วจะเห็นว่า  ทรัพย์สินของลุงเปลี่ยนแท้ ๆ ได้กลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้ลุงเปลี่ยนต้องเดือดร้อนใจ  ทำให้ลุงเปลี่ยนเป็นคนมีศัตรูไปได้
              คราวนี้ลุงเปลี่ยนเริ่มไม่สบายใจ  จึงนำเรื่องนี้ไปหารือกับสมภารชั้น
             ทรัพย์สินก็ดี  ลูกเมียก็ดี  รวมทั้งอัตตาตัวเราเองและอะไรทุกอย่าง  มันเป็นศัตรูกับเราทั้งนั้น   สมภารชั้นนั่งเคี้ยวหมากและพูดอย่างสบายอารมณ์
             ผมยังไม่เข้าใจที่ท่านว่า  ลุงเปลี่ยนพนมมือถาม        

               อ้าว...  สมภารชั้นอุทาน  ก็มันนำความไม่พอใจมาให้เรา  มันก็เป็นศัตรูกับเราละซี  ที่ว่าเป็นศัตรูนั้นหมายถึงศัตรูต่อความสงบทางใจ  ดูแต่ฉันเป็นพระ   ไม่มีอะไรติดตัวเลย  ทั้งหมดเป็นของวัดทั้งนั้น  ขนาดเป็นพระ  คนมันยังมากวน.....
             ลุงเปลี่ยนชักจะเข้าใจบ้าง    จึงถามต่อไปว่า
             แล้วผมจะทำอย่างไรดี ?
             มันไม่ใช่เรื่องบรรพชิต  สมภารว่าแล้วเอนหลังอิงหมอนขวาน  พูดต่อไปว่า
             ฉันจะไปแนะนำโยมได้อย่างไร  ดีไม่ดีเขาจะหาว่าพระเซ็งลี้ไปด้วย
             ลุงเปลี่ยนหมดท่านึกถึงขุนไกร  นายอำเภอคนเก่าอายุปาเข้าไป  70  ปีแล้ว  เคยรับราชการมาสมัยพ่อลุงเปลี่ยนยังอยู่  ออกรับเบี้ยบำนาญแล้วเลยตั้งรกรากอยู่ที่นั่น
             ถ้าได้ราคาดีก็ขายมันไปเสียเถอะ  พ่อเปลี่ยนก็อายุมากแล้ว  จะได้สบายเสียที  ลูกเต้าก็ไม่มีกับเขา  จะได้ทำบุญให้สะใจ...
             ขุนไกรพูดโดยไม่ชำเลืองดูลุงเปลี่ยน  ขนคิ้วของแกสองข้างมีสีขาวอย่างผมบนศีรษะ  แต่ท่าทางแกยังแกร่งอยู่ตามเดิม
             แต่ผมไม่รู้เรื่องสัญญากฎหมาย  ไม่รู้ราคาที่สมควร  กลัวจะถูกคนเบียดเบียนเอา
             ลุงเปลี่ยนครางออกมาอย่างน่าสงสาร
             “รับปากกับฉันว่าได้เงินมาแล้วต้องทำบุญวัดเรา  แล้วฉันจะจัดการให้  ขุนไกรพูดอย่างเปิดอก   ความทุกข์ของลุงเปลี่ยนเบาลงเหมือนถูกยกออกไป  เมื่อขุนไกรรับปากจะช่วย
              เวลาผ่านไปอีกสามเดือน  ลุงเปลี่ยนก็ขายนาทั้งหมดได้เงินมาแปดแสนบาท  โดยฝีมือ
ขุนไกรเป็นผู้จัดการให้  จนกระทั่งนำเงินมาเข้าธนาคารแบบฝากประจำจนเสร็จการ
              เงินจำนวนดังกล่าวทำให้ลุงเปลี่ยนหรือตาเปลี่ยน  กลายเป็นคุณลุงเปลี่ยนไปทันที
              ลุงเปลี่ยนได้ทำจริงอย่างพูดตามที่ได้สัญญาไว้กับขุนไกร  แกทอดกฐินที่วัดสมภารชั้น  และถวายเงินแก่วัดเพื่อการบูรณะซ่อมแซม  โบสถ์  ศาลา  เป็นเงินถึงแสนบาท  ดังมาก.......คราวนี้ดังจริง ๆ ชื่อลุงเปลี่ยนดังไปไกลกว่าเจ็ดหัวคุ้งน้ำ
              วัดของสมภารชั้นมีคนทอดกฐินทุกปี  ทางวัดเคยได้เงินถวายอย่างมากไม่เกินหนึ่งพันบาท  แต่มีงานเอิกเกริกใหญ่โต  ทั้งรำวง  แข่งเรือ  และขบวนแห่  มี ฆ้อง กลอง อันเป็นทำให้รายจ่ายสูงกว่าจำนวนเงินถวายวัดเป็นไหน ๆ
              ครั้งแล้วลุงเปลี่ยนกลับไปเช่าที่วัดประมาณ  80  ตารางวา  โดยปลูกบ้านไม้หลังเล็ก  ๆ อยู่ตามลำพังและมีเงินเหลืออยู่ในธนาคารอีกหกแสนบาทเศษเป็นยอดฝากประจำ           

    
มีคนตำหนิว่าแกโง่ที่ไปเช่าที่วัดปลูกบ้าน  เพราะแกไม่มีลูก  ตายแล้วจะได้ตกเป็นของวัด    ใคร ๆ  รวมทั้งผู้อ่านก็คงนึกว่า  ที่นี่ต่อไปชีวิตลุงเปลี่ยนคงจะเป็นสุข
              ยัง..เพราะเงินหกแสนบาทเศษที่ยังอยู่ในธนาคาร  เป็นเงินของลุงเปลี่ยนผู้ไม่มีทายาท  เริ่มมีคนสนใจวิจารณ์กันว่า  ถ้าลุงเปลี่ยนตายแล้วเงินทั้งหมดนี้จะตกเป็นของใคร
              ตั้งแต่ลุงเปลี่ยนไปทำดังด้วยการทอดกฐินคนเดียว   และด้วยการถวายวัดเป็นเงินแสน  ทำให้ชื่อลุงเปลี่ยนดังไปตามวัดอื่นในจังหวัดนั้นด้วย
        คราวนี้แทนที่ลุงเปลี่ยนจะถูกรบกวนด้วยฆราวาส  กลับเปลี่ยนเป็นพวกบรรพชิต  ทุกวัน
จะมีเรือมาจอดริมคลองหลังวัด  ซึ่งลุงเปลี่ยนปลูกบ้านอยู่  มีคนนุ่งเหลืองโกนศีรษะมาขอพบเพื่อชักชวนให้ทำบุญ   ถึงลุงเปลี่ยนจะปฏิเสธไปอย่างสุภาพ  โดยชี้แจงว่า  จะทำบุญอย่างครั้งที่แล้ว
ไม่ได้  เพราะจะต้องเก็บรักษาไว้กินใช้บ้าง  คงจะทำได้ตามสมควรจากดอกเบี้ยธนาคารที่รับได้เท่านั้น
             ข้อชี้แจงเหล่านี้ได้ทำให้พระภิกษุที่มาเจรจาขอให้แกไปทอดกฐินที่วัดของตนต้องผิดหวังกลับไปแต่บางคนก็ฉลาดที่ชี้สวรรค์ไว้ให้แก   โดยบอกว่า  ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้แกทำพินัยกรรมเสีย  ระบุว่า  เมื่อสิ้นบุญแล้วขอบริจาคเงินให้แก่วัดนั้น
             เอ.....คนเรานี่ไม่ว่าพระหรือคฤหัสถ์คิดแต่จะเอาเงินกันทั้งนั้น
            การนั่งรับแขกที่เป็นพระสงฆ์องค์เจ้า   กลับทำให้ลุงเปลี่ยนต้องเป็นทุกข์ใจอีก  เพราะแกเกิดมาคอยห่วงว่า   เมื่อแกตายแล้วเงินหกแสนบาทของแกจะให้ใคร   ถ้าจะยกให้แก่วัดก็ควรจะเป็นวัดไหนดี  ถ้าให้วัดนี้วัดโน้นก็จะว่า  คิดไปคิดมาใจไม่เป็นสุข
             จะไปปรึกษาสมภารชั้นก็ไม่กล้า  เพราะสมภารชั้นก็ต้องเห็นแก่วัดของท่าน  พูดดีไม่ดีแกกลัวจะหลวมตัวถูกผูกมัด
             พวกทนายความรู้ข่าวว่าลุงเปลี่ยนคิดจะทำพินัยกรรม  ก็เสนอหน้ามาขอจัดการให้ถูกต้อง  โดยเรียกค่าจัดการถึงสามพันบาท
             พอทางอำเภอฯ  ได้ข่าวก็ให้คนมาบอกว่า    จะจัดการเป็นพินัยกรรมเมือง  โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย   แต่ขอให้ยกเงินให้อำเภอเพื่อเอาไปสร้างถนน
              มันมีปัญหาที่ไม่รู้จักสิ้นสุดเกิดขึ้นในใจและค้างอยู่จนกลายเป็นกังวล  ทำให้ลุงเปลี่ยนนึกถึงวันที่แกยังเป็นตาเปลี่ยน  ไถนากับควายตัวหนึ่งบนผืนที่ดินเพียง  20  ไร่  ตอนนั้นไม่มีใครมาเหลียวแลแก  แต่ชีวิตก็เป็นสุขเหลือหลายทางใจ  แม้จะเหนื่อยยากลำบากทางกาย                 


              มาบัดนี้ความทุกข์ของแกอยู่ที่การเกรงใจคนอื่น  จนต้องเก็บตัวอยู่ในบ้านไม่กล้าสู้หน้าใคร  พบครูก็ขอให้บริจาคแก่โรงเรียน  พบพระ ๆ ก็ชักชวนให้บริจาค  พบอำเภอ ๆ ก็ขอให้อุทิศเงินสร้างถนนแม้แต่สมภารชั้นเองแกก็ไม่กล้าไปคุยด้วย  เพราะเกรงจะชี้ทางสวรรค์  โดยขอให้แกทำพินัยกรรมยกเงินให้แกวัดเสียอีก
               ตกลงชีวิตลุงเปลี่ยนจำกัดอยู่กับการปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้าน  และนั่งนอนฟังทรานซิสเตอร์อันเล็ก ๆ ของแก  ต้องคอยหลบหน้าหลบตาใคร ๆ  และปิดหูเสียแบบพระภควัม  ไม่อยากได้ยินเสียงตำหนิจากใคร  ที่หาว่าแกยิวและเห็นแก่ตัว
               แล้ววันหนึ่ง...ลุงเปลี่ยนก็ประกาศออกมาว่า  แกได้ทำพินัยกรรมเรียบร้อยแล้วเขียนด้วยลายมือตนเอง  และได้มอบให้สมภารชั้นเก็บรักษาไว้
               แต่จะยกทรัพย์ให้แก่ใครลุงเปลี่ยนหุบปากนิ่งไม่พูด  แต่คนส่วนใหญ่เดากันว่าลุงเปลี่ยนคงยกให้แก่วัดนาคลอง  ซึ่งสมภารชั้นเป็นเจ้าอาวาสอยู่แน่ ๆ
               มาระยะนี้เอง  ความสงบสุขค่อยบังเกิดขึ้นแก่ลุงเปลี่ยน  พระตามวัดต่าง ๆ ก็หายหน้าไปไม่มากวน  รวมทั้งคนอื่น ๆ ด้วย
               แต่สมภารชั้นผู้รักษาพินัยกรรม  กลับตกที่นั่งลำบากโดยต้องอธิกรณ์ถูกพระลูกวัดคิดจะแย่งตำแหน่ง  ตั้งข้อหาใส่ความกล่าวโทษจนเรื่องราวเสนอถึงพระวินัยธร
               มีหนังสือไม่ลงชื่อทิ้งมาถึงลุงเปลี่ยนชี้แจงว่า  สมภารชั้นเป็นผู้ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ไม่สมควรจะเป็นผู้รับมอบเงินจำนวนมากของแก  เกรงจะสึกออกไปครองเรือนเสียด้วยซ้ำ   เป็นข้อกล่าวหาที่อุบาทว์และฉกรรจ์  สมภารชั้นก็สู้แบบหัวชนฝา  จนชนะไปทุกคดีเพราะสมภารชั้นบวชตั้งแต่เณร  ยึดพรหมจรรย์มาร่วม  40  ปีเศษ  ไม่เคยมีอะไรด่างพร้อย
               อ้ายเปลี่ยนมันถ่ายกรรมมาให้ข้า  สมภารบ่นอุบอิบ
               อย่าว่าแต่รายลุงเปลี่ยนเลย  บางนั้นทั้งบางเดิมเคยอยู่กันมาด้วยความสงบสุขสมัยที่ยังไม่มีความเจริญของบ้านเมืองแผ่เข้าไปถึง  การไปมาหาสู่กันมีแต่การสัญจรไปมาทางน้ำเท่านั้น  แต่ทุกคนก็อยู่กันแบบพระในวัด
               พอถนนสายใหม่ตัดผ่านเข้าไปเท่านั้น  เหมือนลมร้อนจากทะเลทรายพัดผ่านเข้าไป  คดีแย่งชิงมรดก  คดีรุกล้ำที่ดิน  คดียึดทรัพย์บังคับเพื่อหนี้สินเกิดขึ้นอย่างชุกชุม  เพราะที่ดินแถวนั้นมีราคาแพงขึ้นดุจทองคำ
                     

                รถยนต์คันสวย ๆ แบบต่าง ๆ แล่นผ่านไปมาทำให้ชาวบ้านแถวนั้นได้พบเห็น แม้แต่ควายมันก็ยังเบิ่งตามอง  อารยธรรมสมัยใหม่ได้ไหลพรั่งพรูเข้าไปในอำเภอนั้นและมีความชั่วร้ายอย่างหนึ่งตามมาด้วยนั่นคือ  ความเห็นแก่ตัวของคนที่อำเภอนั้นเพิ่มพูนขึ้นทุกที
                ความศิวิไลยซ์สมัยใหม่ได้เพิ่มพูนกิเลสให้แก่มนุษย์มากขึ้น
                อยู่มาอีกสองปี  ลุงเปลี่ยนได้ล้มเจ็บลง  ทางวัดก็ช่วยกันอย่างแข็งขัน  ในฐานะที่แกเป็นผู้บำรุงวัด  ปรึกษากันว่าถ้าขืนรักษาที่บ้าน  ชีวิตลุงเปลี่ยนจะไม่ยืนยาว  ครั้นแล้ววันรุ่งขึ้นที่ตกลงกันว่า  จะนำคนไข้ส่งโรงพยาบาลทางจังหวัด  ลุงเปลี่ยนก็ได้จบชีวิตของแกลงเสียก่อน
                 เหมือนกับรู้ตัวว่า  ถ้าขืนมีชีวิตอยู่อีกต่อไป  ภาระจะยังไม่สิ้น
                วันเปิดพินัยกรรมของลุงเปลี่ยน  สมภารชั้นได้เชิญนายอำเภอ  และผู้ใหญ่ในอำเภอนั้นไปหลายคนเพื่อเป็นสักขีพยาน
                 พินัยกรรมของลุงเปลี่ยนเขียนด้วยลายมือแกเอง  เป็นหนังสือตัวโต ๆ แบบเด็กนักเรียน ชั้น ป.3 มีข้อความสั้น ๆ ว่า
                 ถ้าตัวฉันหาชีวิตไม่แล้ว  ให้ยกบ้านเรือนข้าวของในบ้านทั้งหมดให้แก่วัดนาคลอง  ส่วนเงินสดในธนาคารทั้งสิ้น  ขอถวายพระเจ้าอยู่หัว  เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศลสุดแท้แต่จะมี
พระประสงค์
                                                                         (ลงชื่อ)  เปลี่ยน    แปลงนาม
                 ลุงเปลี่ยนคงจะรู้ว่า  เงินทุกบาททุกสตางค์ของแก  ถ้าจะให้เป็นกุศลจริง ๆ ต้องถวาย
ในหลวง... 
            
  

                              
  ที่มา  :   กระทรวงศึกษาธิการ   ประชุมบทร้อยกรอง บทความและเรื่องสั้น  ชั้นมัธยมศึกษา
               ตอนปลาย  กรุงเทพฯ คุรุสภาลาดพร้าว  2525 หน้า  58-61

2 ความคิดเห็น: