เรื่องสั้น ก่อกองทราย
ไพฑูรย์ ธัญญา
ลำน้ำนั้นไหลมาจากทิศตะวันตก ทอดตัวเลื้อยเลี้ยวเข้าเขตหมู่บ้าน แบ่งแผ่นดินออกเป็นสองส่วน ฟากฝั่งสองข้างมีบ้านเรือนตั้งอยู่เป็นหย่อม ๆ สลับกับสวนยางพาราและสวนผลไม้ริมคลองด้านหนึ่ง
มีทางเดินลาดลึกจนถึงหาดทรายใต้คุ้งน้ำที่หักโค้งเป็นข้อศอก ลำน้ำยามแล้งตื้นเขิน แต่สายน้ำยังคงเอื่อยรินสม่ำเสมอ หลุมพอต้นใหญ่งอกง้ำชิดตลิ่ง แผ่กิ่งก้านสาขาทอดเงาไปยาวไกล
ปกคลุมหาดทรายและลำน้ำช่วงนั้นด้วยเงาเย็นร่มรื่น
วันแล้ง ร้อนอย่างร้ายกาจ แผ่นดินระยิบระยับด้วยเปลวแดด สวนยางพาราสลัดใบร่วงโปร่งโล่ง เปลือยกิ่งก้านอาบแดดอยู่เคร่งขรึม เงียบเหงา
ลมสงัด ใบไม้ใบหญ้าไม่ไหวติง มะพร้าวยอดด้วนยืนตายสงบงันเหนือฝั่ง สรรพสิ่งเหมือนยอมสยบต่อฤทธิ์ร้ายของตะวันกล้าในยามเที่ยง
พวกเขามากันห้าคน
เดินนำหน้าเป็นเด็กชายตัวโตกว่าเพื่อนตามด้วยเพื่อนชายอีกสามเหลือรั้งท้ายเป็นเด็กหญิงตัวเล็กไม่สวมเสื้อ แก้มของเธอแดงก่ำเพราะพิษแดด พอๆ กับหัวไหล่และร่องหลังที่เปล่าเปลือย
ทั้งหมดย่ำย่างมาบนพื้นทางที่ปกคลุมด้วยใบยางแห้งเสียงดังสวบสาบ เมื่อถึงปากทางลงท่าน้ำซึ่งสูงชัน ก็ปล่อยตัวถลาร่อนลงอย่างรวดเร็ว เด็กชายโห่ร้องขึ้นเสียงดัง ก่อนจะพากันเข้าแอบร่มหลุมพอใหญ่ เหนื่อยหอบเหมือนหมาวิ่งตามพระ
“น้ำใสจัง” เด็กชายร่างเล็กพูดขึ้น
“วันนี้เรามาถึงก่อนเพื่อน ไอ้พวกนั้นยังไม่มา”
อีกคนว่า
“ใช่ เราชนะมันวันนี้”
“เป็นไงแกน่ะ.....เหนื่อยซีท่า”
เด็กชายหัวโตหันไปพูดกับเด็กหญิง “อยากตามมาดีนักบอกว่าร้อนก็ไม่เชื่อ” เสียงของเขาขุ่นขึ้ง
เด็กหญิงเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่งเอาตีนถูทรายไปมาเป็นร่องลึก
เธอไว้ผมทรงหน้าม้าตัดเรียบเป็นสี่เหลี่ยมมุมฉากครอบหน้าผาก ต่ำลงมาคือแนวคิ้วโค้งโก่ง
และขนตาเรียวงอนที่กระพริบถี่ดวงตาทั้งคู่กลมโตเป็นประกาย มองดูแต่ไกลเหมือนตุ๊กตาตัวใหญ่ไม่สวมเสื้อ ผิวของเธอสีเดียวกับเด็กผู้ชายคนโตนั้น
“เล่นน้ำกันดีกว่า” ใครคนหนึ่งว่า
“วันนี้เล่นอะไรดีล่ะ” มีเสียงขอความเห็น
“เล่นดำปักกันเอาไหม” คนโตพูด
“เอาก็เอา”
แล้วเด็กชายทั้งหมดก็รีบถอดเสื้อผ้าสลัดกองไว้บนเนินทรายเหลือตัวล่อนจ้อน
เด็กชายร่างเล็กออกวิ่งนำหน้าพุ่งโผนลงในน้ำดังตูมใหญ่ เพื่อน ๆ กระโดดตามไปติด ๆ
“แกเล่นที่ตื้น ๆ นะ
อย่าตามลงมาอีก เดี๋ยวจมน้ำตาย” เด็กชายคนโตหันมากำชับ
แล้ววิ่งกระโดดน้ำตามพรรคพวกไป
ทิ้งเด็กหญิงไว้บนหาดทรายเพียงลำพัง
พวกเด็กผู้ชายว่ายน้ำไปรวมกันอยู่กลางคลอง ซึ่งมีความลึกแค่คอ แต่ตรงที่ลึกที่สุดของลำน้ำช่วงนี้ คือวังวนเหนือหาดทรายใต้ต้นหลุมพอนั่นเอง ที่ตรงนั้นเป็นคุ้งกว้าง
น้ำจึงไหลวนอ้อยอิ่งเหนือผิวน้ำขึ้นไปประมาณสองวา มีหลุมพอกิ่งใหญ่ยื่นต่ำออกมาแผ่คลุม มันอยู่กึ่งกลางของวังวนพอดี
เด็กชายคนโตว่ายน้ำตัดคลองไปอีกทางหนึ่ง แล้วขึ้นไปหักกิ่งไม้เล็ก ๆ ติดมือกลับมา เขาว่ายย้อนมาหาเพื่อน ๆ ที่รออยู่ พร้อมกับตะโกนบอกเสียงดัง
“เล่นดำปักกันเลยนะ.....กูจะดำลงไปก่อน” พูดจบก็ผลุบหายลงไปพร้อมกิ่งไม้ในมือ
สักครู่จึงโผล่พรวดขึ้นมา
“เอาเลย....ใครแน่จริงหาให้พบ” เขาร้องบอกเป็นการเปิดเกม คนอื่น ๆ
รีบดำน้ำลงไปทันทีการเล่นดำปักจึงเริ่มขึ้นแต่บัดนั้น
สายน้ำเอื่อยริน ใสจนแทบนับเม็ดกรวดทรายได้
เด็กหญิงเลื่อนตำแหน่งต่ำลงมาจนเท้าทั้งสองแช่อยู่ในน้ำ มองดูเด็กชายเล่นน้ำปักดำกันอย่างหงอยเหงา เวลาพวกนั้นว่ายน้ำพร้อม ๆ
กันผิวน้ำกระเพื่อมหนุนตัวเข้าซัดฝั่งเป็นระลอก
พวกเขากำลังสนุกเต็มที่
เมื่อใครคนหนึ่งดำลงไปปักกิ่งไม้ซ่อนไว้ที่ก้นคลอง คนอื่น ๆ
จะดำลงไปค้นหาและถ้าใครดำพบแล้วถอนขึ้นมาได้ ก็มีสิทธิไล่ตีเพื่อน ๆ
จากนั้นก็ดำลงไปปักซ่อนไว้อีก
ผุดดำผุดว่าย จนตาแดงขุ่นเป็นสีเลือด
มีเสียงคึก ๆ ดังมาจากท่าลงน้ำ
เธอหันไปดูเห็นเด็กชายสี่คนวิ่งพุ่งมาอย่างแรงตามด้วยเสียงกู่ร้องเบิกบานใจ พวกที่มาใหม่รีบถอดเสื้อผ้าลุกลี้ลุกลน
แล้ววิ่งไปสมทบกับพวกที่อยู่ในคลองเสียงดังตูมตาม ผืนน้ำแตกกระจายพุ่งละอองขึ้นเป็นฟองฝอย เพียงอึดใจลำคลองสายนั้นก็ส่ำสลอนไปด้วยเด็กชายตัวเปล่าเปลือย
เด็กหญิงยังนั่งอยู่ที่เดิม
คอยกวาดทรายเข้าหาตัวแล้วพูนตะล่อมขึ้นเป็นคันยาวต่อกันสี่ด้านในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
“ฉันจะทำบ้าน....” เธอพูดกับตัวเอง แววตาเป็นประกายเฟื่องฝันในขณะกวาดทรายเข้ามาเพิ่ม ทรายเปียกน้ำสะดวกต่อการตบแต่ง
ไม่นานนักเธอก็ถูกล้อมด้วยทรายที่พูนขึ้นเป็นรูปตาราง มองดูเหมือนนาแปลงเล็ก ๆ
ที่มีแนวทรายเป็นขอบคัน
“ตรงนี้ห้องนอน” เธอพูดขึ้นอีก
แล้วพูนทรายขึ้นเป็นคันใหม่แบ่งตารางใหญ่ออกสองส่วน “ตรงนี้เป็นห้องครัว....นั่นห้องพ่อกับแม่....”
เมื่อกำหนดว่าตรงไหนเป็นห้อง เด็กหญิงจะพูนทรายให้เป็นคันสูงขึ้น
สมมุติว่าคือฝากั้นเธอทำอย่างนี้เรื่อย ๆ จนได้ห้องเล็ก ๆ สามห้อง เสร็จแล้วจึงค่อย ๆ ถอยออกมานั่งยอง ๆ
จ้องมองสิ่งที่เพียรก่อสร้างอย่างจุใจ
มือและเท้าของเด็กหญิงเปรอะด้วยเม็ดทรายเปียกน้ำ ในซอกเล็บมีดินทรายเข้าไปอัดแน่นเป็นแนวดำ เธอเอียงคอไปมา ปั้นปากเครียดเหมือนนายช่างซึ่งกำลังจ้องมองอาคารในระหว่าง
การก่อสร้าง ตรงไหนที่เห็นว่ายังไม่ชอบใจ
เธอก็เข้าไปเสริมแต่ง
กระถดไปมาอยู่พักหนึ่ง
จึงหันไปทางกลุ่มเด็กผู้ชายอีกที
“อยู่นี่ ๆ ไม้อยู่นี่...”
เธอเห็นเด็กชายคนหนึ่งชูกิ่งไม้ขึ้นเหนือหัว
แล้วดำหายลงไปในน้ำเด็กหญิงกลับมามองบ้านดินทรายอีกครั้ง แล้วยิ้มขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ฉันจะปลูกต้นไม้ด้วย” เธอว่า พร้อมกับวิ่งออกไปยังแนวป่าชายหาด หักกิ่งไม้ติดมือมาสองสามกิ่ง มีดอกเข็มป่าสีแดงอยู่ด้วยสามดอก
“ตรงนี้ต้นมะม่วง” เธอพูดขึ้นเมื่อปักกิ่งไม้ลงบนพื้นทรายชิดแนวคันดิน “ตรงนี้ต้นกระท้อน” เธอปักกิ่งไม้ลงไปอีกหนึ่ง “ตรงนี้ต้นอะไรดีนะ...อ้อ....ปลูกต้นทุเรียนดีกว่า...”
ว่าแล้วเธอก็ปักลงไปอีกในมือเหลือเพียงดอกเข็มป่าสีสดใส
“ตรงนี้หน้าบ้าน” เธอว่า พร้อมกับกวาดทรายจนเรียบ “หน้าบ้านจะต้องปลูกดอกไม้...ฉันจะปลูกดอกไม้เงาะสีแดงนี่”
ดอกเข็มป่าที่มีกิ่งติดอยู่ด้วยถูกปักลงเป็นแถวในบริเวณนั้น
ตอนนี้บ้านบนพื้นทรายของเธอจึงมีพุ่มไม้เขียวแดงขึ้นเป็นหย่อม ๆ
เด็กหญิงกระโดดเข้าไปนั่งในช่องสี่เหลี่ยมอีกที
พร้อมกับปรบมือเบา ๆ
“สวยจัง ๆ” เธอพูดอย่างดีใจ
ตะวันเที่ยงลอยคว้างตรงหัว เงาหลุมพอจึงหดสั้นเข้ามาทุกที เด็กผู้ชายที่เล่นดำปักเริ่มแตกกลุ่มออกมาข้างนอก แต่ละคนมือเท้าซีดเซียว ปากเขียวเหมือนยอดหวายลิง
เด็กชายท่าทางซุกซนที่มากับกลุ่มหลังวิ่งขึ้นบนหาด ผ่านบ้านดินทรายของเด็กหญิงอย่างหมิ่นเหม่ เจ้าของบ้านตกใจร้องลั่น
“อย่าเหยียบ.....นี่บ้านฉัน”
“ไหน ไหน.....บ้านอะไร นั่นมันทรายต่างหาก”
เขาหยุดชะงัก
“ดอกไม้สวยจัง ขอดอกสิ...” เด็กชายเข้ามาใกล้
กระชากเข็มป่าติดมือไปอย่างรวดเร็วเด็กหญิงลุกพรวดออกจากช่องสี่เหลี่ยม
“อย่าเอาไป....ดอกไม้ของฉัน..เอามานี่
ๆ”
เด็กชายวิ่งวนไปรอบ ๆ บ้านดินทราย ยื่นดอกไม้แกว่งไกวหลอกล่อ แยกเขี้ยวยิงฟันเหมือนลูกลิง
“อยู่นี่ ๆ มาเอาซี” เขาร้องท้า
แล้ววิ่งข้ามแนวทรายไปมา
เด็กหญิงร้องลั่นเมื่อเห็นบ้านดินทรายของเธอราบเรียบกับรอยตีน
“ไอ้บ้า.... แกล้งฉันทำไม” เธอแทบร้องไห้
หันรีหันขวางด้วยความขุ่นเคือง
“ไล่ให้ทันซิ...ไล่ให้ทัน จะให้มันสิบขวด ให้หนวดสิบเส้น”
เด็กชายยังร้องยั่ว
แล้ววิ่งลงน้ำฉีกดอกไม้สีแดงยับเยิน
ก่อนจะขว้างทิ้งให้ลอยไปตามน้ำไหล
เด็กหญิงทรุดนั่งนบผืนทราย น้ำตาไหลซึม
เธอมองดูบ้านดินทรายที่พังราบ
เพราะรอยเท้าด้วยความเสียดาย ดอกเข็มป่าที่เหลือจมทรายเสียเกือบมิด เธอค่อย ๆ ดึงขึ้นมาอย่างทะนุถนอมปัดทรายออกเบา
ๆ
“ทำใหม่อีกก็ได้” เธอบอกตัวเอง แล้วเริ่มต้นคุ้ยทรายขึ้นมาใหม่ ครั้งนี้เปลี่ยนจากที่เดิมมาเป็นริมน้ำ เด็กหญิงคุ้ยทรายจากใต้น้ำขึ้นมากองจนท่วมขา ขณะขมวดคิ้วครุ่นคิด
“ทำเจดีย์ดีกว่า......” เธอคิดได้แล้ว และรีบตะล่อมทรายขึ้นเป็นทรงสูง ใช้มือตบแต่งอย่างระมัดระวัง เม็ดทรายเปียกน้ำเกาะตัวกันแน่น เด็กหญิงพยายามโปะแปะจนกลายเป็นรูปเจดีย์เล็ก ๆ
มียอดเรียวแหลม
“เหมือนเจดีย์ในวัดเลย...เหมือนจริง
ๆ”
เธอชื่นชมกับผลงานชิ้นใหม่
จากนั้นก็เริ่มก่อกองทรายให้เป็นรูปทรงเดียวกันอีกกองหนึ่ง
เด็กชายกลุ่มนั้นวิ่งทะยานขึ้นจากน้ำดังฉ่าฉาว
ผิวน้ำกระเพื่อมม้วนตัวเป็นคลื่นใหญ่ทบทยอยเข้าหาฝั่งติด ๆ กัน
มันซัดเซาะกองทรายรูปเจดีย์ของเด็กหญิงจนเว้าแหว่ง และหนุนเนื่องเข้าซ้ำเติมจนกองทรายน้อย ๆ
ทลายราบ
“พังอีกแล้ว” เด็กหญิงร้องลั่น มองตามเด็กผู้ชายที่มุ่งหน้าไปทางวังน้ำวน เด็กชายตัวโตที่ชอบดุเธอวิ่งนำหน้า เขาพาพวกไต่ขึ้นไปบนกิ่งหลุมพอเป็นพรวน ปากก็ร้องเรียกดังลั่น
“ใคร่แน่จริงขึ้นมาเลย....มาโดดน้ำกันดีกว่า...”
พวกที่อยู่ข้างล่างก็วิ่งตามขึ้นไปอีก ต่อแถวกันเป็นพรวนเหมือนฝูงลิง
กิ่งหลุมพอโน้มต่ำเรี่ยผิวน้ำเพราะความหนัก มันแกว่งไกวไปมาจนน่ากลัว
“นึง ส่อง
ส้าม...” เด็กชายตัวโตนับขึ้น พอสิ้นเสียงนับก็ทิ้งตัวลงในน้ำดังตูม
ผืนน้ำราบเรียบถูกกระแทกแตกกระจายเป็นฟองพราย พร้อม ๆ กับที่กิ่งไม้สะบัดเหวี่ยงอย่างแรง กวาดพวกเด็ก ๆ
ที่เหลือให้ร่วงตามลงมาขี่คอกันชุลมุน
วังวนปั่นป่วนแทบจะเป็นตม
เด็กหญิงเลิกสนใจเด็กพวกนั้นอีกต่อไป เธอหันมาคุ้ยทรายขึ้นมาใหม่ แล้วลงมือก่อเป็นรูปเจดีย์อีก ริ้วคลื่นที่โหมกระหน่ำมาไม่ยั้งหยุดทำให้เธอไม่อาจก่อขึ้นได้ง่าย
ๆ กระนั้นเด็กหญิงก็ไม่สิ้นความพยายาม
“ทำอะไรน่ะ” เสียงถามดังจากที่ใกล้ ๆ
เธอเงยหน้าขึ้น
พบเด็กชายร่างเล็กที่มาด้วยกันยืนจ้องด้วยความสงสัย
“ทำไมไม่ไปเล่นน้ำกับพวกนั้น” เด็กหญิงถาม
แล้วก้มหน้าก่อกองทรายต่อ
“น้ำลึก ไม่กล้าเล่น” เด็กชายตอบ
เขาทรุดนั่งมองดูเด็กหญิงอย่างสนใจ
“แกจะทำอะไร เห็นทำอยู่นานแล้ว” เขาถามอีก
“ทำเจดีย์” เด็กหญิงพูด เธอกำลังแต่งยอดเจดีย์ทรายให้เรียวแหลม
แต่แล้วคลื่นใหญ่จากวังวนก็โถมเข้าเซาะจนแหว่งไปอีกด้าน
“พังหมดแล้ว” เด็กชายว่า
“ไม่หมด”
เด็กหญิงพูด “มันยังอยู่”
“เดี๋ยวมันก็พังอีก” เด็กชายขยับเข้ามาอีกนิด
เด็กหญิงไม่พูดอะไร แต่ย้ายที่นั่งจากหาดทรายลงไปในน้ำ
เธอนั่งหันหน้าเข้าหาฝั่งกางขาออกคร่อมกองทรายไว้ คราวนี้เธอก่อมันได้สะดวกขึ้นเพราะมีตัวเองเป็นเครื่องกำบังคลื่น
กลุ่มเด็กที่ปืนขึ้นบนกิ่งหลุมพอกระโดดน้ำถี่แรง เกมนี้พวกเขาสนุกกันสุดเหวี่ยง วังวนยิ่งกระฉอกไหวปั่นป่วน ก่อคลื่นเข้าซัดฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า
เด็กหญิงยังไม่สิ้นความตั้งใจแม้ว่าเจดีย์ทรายของเธอต้องพังลงไปหลายครั้ง หากแต่เร่งมือหนักขึ้น
“พังอีกแล้ว...พังหมดเลย” เด็กชายพูดอีก เมื่อเจดีย์น้อยลูกคลื่นกวาดลงราบเรียบ
“ไม่หมด” เด็กหญิงยืนยัน
“อะไรกัน...ทรายไปหมดแล้วยังไม่พัง” เด็กชายไม่เข้าใจ
“ทรายยังไม่หมด มันยังอยู่” เด็กหญิงย้ำ
“บอกว่าหมดแล้ว...มันไหลไปหมดแล้วเห็นไหม”
“ไม่จริง”
เด็กหญิงเถียง เธอคุ้ยทรายขึ้นมาอีก
“ทรายยังอยู่เห็นไหมนี่...” เธอกอบทรายให้ดู “เขาบอกว่ามันมากับน้ำ ทรายมากับน้ำทุกวัน
มันไม่เคยหมด
เราต้องก่อขึ้นใหม่...” เธอพูดอย่างมั่นใจ
“แล้วก็พังอีก ก็พวกนั้นยังเล่นน้ำอยู่นี่ เดี๋ยวคลื่นก็มาอีก”
“เราก็ก่อขึ้นอีก
ถ้าเราก่อให้กองใหญ่และสูงเท่าเจดีย์ที่ในวัดมันก็ไม่พัง คลื่นมาก็ไม่พัง ถึงพังก็ไม่หมด” เด็กหญิงพูด นัยน์ตาเปล่งประกาย
“ทำให้กองใหญ่....” เด็กชายร่างเล็กทวนคำ เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น
“เออ...จริง ถ้าเราทำให้สูงเท่าเจดีย์ในวัดมันก็ไม่พัง” เขาพยักหน้าหงึก ๆ
แล้วก้มลงขุดทรายบ้าง
มือของเขาใหญ่และแข็งแรงกว่าจึงคุ้ยทรายได้ทีละมาก ๆ
“เราทำให้มันสูงเท่าเจดีย์เลยนะ”
“ฮืมม์...” เด็กหญิงพยักหน้า “แล้วฉันจะเอาดอกไม้เงาะสีแดงไปเสียบที่ยอดของมันด้วย” น้ำเสียงของเธอตื่นเต้น
แล้วทั้งสองก็หัวเราะขึ้นพร้อมกันดัง ๆ
ลำน้ำยังไหลเรื่อยริน กลุ่มเด็กชายยังไม่เลิกเล่นกระโดดน้ำ ตะวันเที่ยงทรงกลดร้อนแรงอยู่บนฟ้า สาดแสงอาบท้องน้ำเป็นประกายเจิดจ้า
และริมหาดทรายนั้นเด็กสองคนกำลังเร่งก่อกองทรายเป็นการใหญ่.....
ที่มา : ไพฑูรย์ ธัญญา (นามแฝง)
ก่อกองทราย พิมพ์ครั้งที่ 16 กรุงเทพฯ :
นาคร 2533.
น่ารักจัง^^
ตอบลบซาบซึ้ง
ตอบลบรวมหมดมีกี่หน้าค่ะ
ตอบลบถ้าจำไม่ผิด หกหน้าครับ
ลบมีของของตอนคนบนสะพานไหมคะ ของเรื่องก่อกองทรายอะคะ
ตอบลบ